xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

สงครามจักรวรรดิครั้งสุดท้าย : ราชวงศ์อังกฤษหนุนยูเครนรบรัสเซีย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทนง ขันทอง

บทความพิเศษ
โดย ทนง ขันทอง


ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ในวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีการใช้สัญลักษณ์อย่างชัดเจนเพื่อแสดงนัยว่า ราชวงศ์อังกฤษให้การสนับสนุนยูเครนอย่างเต็มกำลังในการทำสงครามกับรัสเซีย

มันจะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของจักรวรรดิอังกฤษ (The Last War of the Empire)

ในระหว่างงานเลี้ยงรับรองแขกต่างประเทศที่วังบักกิงแฮม ก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แคทเธอรีน เจ้าหญิงแห่งเวลส์ และพระชายาของเจ้าชายวิลเลียมทรงอาภรณ์ชุดสีน้ำเงิน และถ่ายรูปลงทวิทเตอร์กับคู่กับจิล ไบเดน ภรรยาของประธานาธิบดีโจ ไบเดน และโอเลนา เซเลนสกา ภรรยาของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ของยูเครน

ในวันงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ปิปปา น้องสาวของเจ้าหญิงแคทใส่ชุดสีเหลือง ส่วนแคโรล คุณแม่ของเจ้าหญิงเคทใส่ชุดสีน้ำเงิน เพื่อแสดงสัญลักษณ์ธงชาติของยูเครน

ส่วนฟินเนแกน ไบเดน หลานสาวของประธานาธิบดีโจ ไบเดนสวมชุดสีเหลือง และจิล ไบเดน ภรรยาของไบเดนสวมชุดสีน้ำเงิน เพื่อสื่อสัญลักษณ์ของธงชาติประเทศยูเครนเหมือนกัน

มันเป็นที่ชัดเจนว่า ราชวงศ์อังกฤษให้การสนับสนุนยูเครนอย่างเต็มที่ และมีการทำงานกันอย่างใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา

จิน เซียตั้น (Jean Seaton) อาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์มีเดียแห่งมหาวิทยาลัยเวสต์มินสเตอร์ในลอนดอน บอกว่า แม้แต่พรมในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ที่ใช้ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ยังประดับด้วยสีน้ำเงินและสีเหลือง ซึ่งเป็นสีธงชาติของยูเครน แทนที่จะใช้สีแดงเหมือนอย่างที่ผ่านมา

แม้แต่ม้าที่ใช้เทียมรถม้าพระที่นั่งของพระเจ้าชาร์ลส์ยังประดับด้วยโบสีน้ำเงิน เพื่อให้เข้ากับรถม้าพระที่นั่งสีเหลืองทอง

เซียตั้นกล่าวต่อไปว่า “เรากำลังอยู่ในภาวะสงคราม และมันเป็นสงครามที่เลวร้าย ตามคำพูดของคนอังกฤษ เราผนึกกำลังด้วยกัน เราอยู่ร่วมกัน เรารู้ว่า เราอยู่ฝ่ายใด”

มันเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ราชวงศ์อังกฤษให้การสนับสนุนยูเครนอย่างเต็มที่ในการทำสงครามกับรัสเซีย โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา และให้สหรัฐอเมริกาออกหน้า

ไฮไลต์ของพระราชพิธีบรมราชาภิเษกคือ หลังจากที่สวมมงกุฎของกษัตริย์แล้ว พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงประทับที่บัลลังก์ พระหัตถ์ขวาถือไม้คทา พระหัตถ์ซ้ายถือลูกโลกที่มีไม้กางเขนปักอยู่ เพื่อแสดงนัยว่าโลกทั้งใบอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์

ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของควีนเอลิซาเบธที่ 1 ควีนเอลิซาเบธที่ 2 และพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ก็มีการถือคทาและลูกโลกที่มีไม้กางเขนเหมือนกัน




ในขณะที่กำลังถ่ายทอดสดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกออกอากาศทั่วโลก ปรากฏว่ามีคนเห็นภาพของชายแต่งชุดดำเหมือนยมทูตทวงวิญญาณ (Grim Reaper) เดินผ่านประตูมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ข้างนอก ทำให้เกิดการร่ำลือต่างๆ นานา ผ่านโซเชียลมีเดีย ทางมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์แก้ข่าวว่า ชายชุดดำคนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ประจำวิหารที่ทำหน้าที่ช่วยเหลืองานทางด้านศาสนา แต่ไม่ได้เป็นบาทหลวง

อังกฤษจะมีอะไรที่แปลกประหลาดพิสดารอย่างนี้เสมอ

ในขณะที่มีพระชนมชีพอยู่ ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ทรงแสดงท่าทีสนับสนุนยูเครนมาตลอด หลังจากที่รัสเซียบุกโจมตียูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 พระองค์ทรงสวมอาภรณ์สีน้ำเงิน และถือดอกไม้สีเหลืองเพื่อส่งสัญญาณให้การสนับสนุนยูเครน และทรงอวยพรยูเครนในวันชาติของยูเครนอีกด้วย นอกจากนี้ พระองค์ยังบริจาคเงินให้กับ Committee for Emergency Situations เพื่อช่วยเหลือผู้อพยพชาวยูเครน

ทั้งพระเจ้าชาร์ลส์ เจ้าชายวิลเลียม และเจ้าหญิงเคท ต่างก็แสดงท่าทีสนับสนุนยูเครน และไม่เห็นด้วยกับการโจมตียูเครนโดยรัสเซียมาตลอดอย่างออกหน้าออกตา

เมื่อราชวงศ์อังกฤษมีจุดยืนต่อความขัดแย้งยูเครนเช่นนี้ รัฐบาลอังกฤษก็มีหน้าที่สนองนโยบาย

หลังสงครามยูเครนปะทุขึ้น นายบอริส จอห์นสัน อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศให้การช่วยเหลือยูเครน ทั้งการเงิน อาวุธยุทโธปกรณ์ และรับเอาผู้ลี้ภัยชาวยูเครนเข้ามาอยู่ในอังกฤษ โดยอังกฤษให้ความช่วยเหลือยูเครนไป 2,500 ล้านปอนด์

อังกฤษร่วมมือกับสหรัฐฯ และพันธมิตรนาโตในการแซงชั่นรัสเซีย รวมทั้งยึดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียไป $300,000 ล้าน เพื่อตอบโต้การที่รัสเซียบุกยูเครน

ที่สำคัญคือ บอริส จอห์นสัน สั่งไม่ให้ เซเลนสกี้ เจรจาสันติภาพกับรัสเซียในเดือนเมษายนปี 2022 หรือประมาณ 1 เดือนกว่าหลังสงครามยูเครนเกิดขึ้น แม้ว่าดูรูปการณ์แล้วยูเครนไม่มีทางรบชนะรัสเซียก็ตาม

นายริชี ซูนัค ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน บอริส จอห์นสัน ได้ไม่ทันไร รีบโทรศัพท์หา โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ประธานาธิบดีของยูเครน เพื่อตอกย้ำจุดยืนของนโยบายอังกฤษที่จะให้การสนับสนุนยูเครนในการทำสงครามกับรัสเซียอย่างเต็มที่

อังกฤษส่งทั้งทหารและอาวุธต่างๆ เข้าไปในยูเครนเพื่อช่วยกองทัพยูเครนและนาโตในการรบกับรัสเซีย ทำให้สงครามยูเครนยืดเยื้อออกไปจนยังไม่มีวี่แววว่าจะจบลงไปง่ายๆ

แต่เอาเข้าจริง สหรัฐอเมริกา ควักเงินมากที่สุดในการช่วยเหลือยูเครน โดยในปี 2022 มีการอนุมัติเงินช่วยเหลือไปแล้วกว่า $113,000 ล้าน

รัสเซียขู่ว่าจะใช้ขีปนาวุธสามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ที่ยิงจากภาคพื้นดิน และขีปนาวุธโพไซดอนติดหัวรบนิวเคลียร์ที่ยิงจากเรือดำน้ำ ไปทำลายอังกฤษให้จมใต้ท้องทะเลถ้าหากอังกฤษยังคงเดินหน้าทำสงครามตัวแทนกับรัสเซีย

ทำไมราชวงศ์อังกฤษจึงให้การสนับสนุนยูเครนในสงครามตัวแทน และวางตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัสเซียเหมือนกับจะไม่เผาผีกันอีกต่อไป?

อังกฤษเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก โดยลักษณะของจักรวรรดิแล้ว เมื่อมีอำนาจ จะไม่ยอมสูญเสียอำนาจเป็นอันขาด

อังกฤษเริ่มมีอิทธิพลเหนือโลกผ่านลัทธิล่าอาณานิคมตั้งแต่ปี 1759 เงินปอนด์เป็นเงินสกุลหลักของโลกมากว่า 100 ปี

อังกฤษเข้ายุคเสื่อมช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เนื่องจากระบบอาณานิคมของอังกฤษที่พึ่งพาแรงงานทาส และทรัพยากรธรรมชาติของประเทศใต้อาณัติของระบบอาณานิคม ไม่สามารถแข่งกับระบบอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ที่เป็นประเทศเกิดใหม่ซึ่งมีการพัฒนาจนก้าวหน้า มีเศรษฐกิจที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีความสามารถในการแข่งขันมากกว่า

ในปี 1913 อังกฤษเข้าไปยึดระบบการเงินสหรัฐฯ ผ่านการยึดครอง Federal Reserve ซึ่งเป็นธนาคารกลางสหรัฐฯ ต่อมาอังกฤษค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปควบคุมระบบการเมือง ฝ่ายความมั่นคง หน่วยสืบราชการลับ และฝ่ายทหารของสหรัฐฯ จนสามารถบอกได้ว่านโยบายต่างๆ ของสหรัฐฯ ถูกสั่งตรงจากลอนดอนอีกต่อหนึ่ง

อังกฤษก่อสงครามโลกครั้งที่ 1-2 ในต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อยับยั้งคู่แข่งอย่างเยอรมนีหรือรัสเซียในยุโรป แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งการเติบโตของสหรัฐฯ ซึ่งเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษที่ได้กลายเป็นผู้นำโลกแทนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษจึงเลือกที่จะบงการสหรัฐฯ อยู่ข้างหลังแทน และเปิดทางให้เงินดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกแทนเงินปอนด์อย่างเป็นทางการในปี 1944

อังกฤษรู้ดีว่าการจะรักษาประเทศอาณานิคมต่อไปต้องใช้กำลังทางทหารเป็นจำนวนมากไปครอบครองพื้นที่ ซึ่งจะเป็นภาระหนักที่ไม่สามารถทำได้ในอนาคต จึงหันมาสร้าง British Commonwealth โดยดึงเอาประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมมาอยู่รวมกันแทน โดยในปัจจุบัน British Commonwealth มีสมาชิก 56 ประเทศ

ตั้งแต่หลังวิกฤตปี 2008 สหรัฐฯ เข้าสู่ยุคความเสื่อมเหมือนกับที่อังกฤษเผชิญในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 โมเดลเสรีนิยม ทุนนิยม ประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ช่วยให้สหรัฐฯ ยิ่งใหญ่มาได้กว่า 100 ปี และทำให้ดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก แต่จักรวรรดิรุ่งเรืองได้ ก็เสื่อมถอยได้เหมือนกัน

ความเสื่อมของสหรัฐฯ มาจากการขาดตอนในการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยหันไปเน้นการเงินแทน มีการเอาท์ซอร์สการผลิตไปที่จีน เม็กซิโก และประเทศอื่นๆ โดยหวังว่าจะใช้การควบคุมตลาดการเงิน และแสนยานุภาพทางทหารเพื่อรักษาความเป็นมหาอำนาจแต่ผู้เดียว

ในขณะเดียวกัน จีนใช้ระบบบริหารแบบรวมศูนย์จากส่วนกลาง (centralized strategic planning) ควบคู่ไปกับระบบเศรษฐกิจการตลาดของทุนนิยม ซึ่งพูดโดยรวมอย่างง่ายๆ คือการเอาจุดแข็งของสังคมนิยมและทุนนิยมมารวมกันเป็นระบบไฮบริด ทำให้จีนพัฒนาก้าวหน้าไปกว่าสหรัฐฯ และจะกลายเป็นมหาอำนาจโลกแทนกลุ่มแองโกลอเมริกัน

ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีปูตินสามารถสร้างชาติรัสเซียใหม่ หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโซเวียตในปี 1991 ทำให้ทั้งรัสเซียและจีนกลายเป็นศัตรูของอังกฤษและสหรัฐฯ ที่ครองโลกในปัจจุบันไปโดยปริยาย

ในปี 2006 อังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือที่เรียกกันว่า Brexit เพื่อความคล่องตัวในการเผชิญหน้ากับรัสเซีย และให้เยอรมนีติดหล่มในสหภาพยุโรป อังกฤษจะยิ่งใหญ่ได้ต้องกำราบทั้งเยอรมนีและรัสเซียให้ได้ ซึ่งเป็นนโยบายที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาหลายร้อยปี

สหภาพยุโรปในวันนี้ไม่มีอังกฤษ แต่อังกฤษยังคงมีอิทธิพลเหนืออียูผ่านเครือข่ายอีลิทยุโรปที่ปกครองยุโรป และอิทธิพลของสหรัฐฯ อีกต่อหนึ่ง แม้ว่าจะมีชัยเหนือรัสเซียในสงครามเย็น แต่ทั้งสหรัฐฯ และอังกฤษ ก็ยังคงเดินหน้าใช้นาโตเพื่อปิดล้อมรัสเซียทางทหาร จนทำให้เกิดความเสี่ยงของสงครามโลกครั้งที่ 3

ในเดือนธันวาคมปี 2021 ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เสนอแพกเกจความมั่นคงระหว่างรัสเซียกับยุโรป ระหว่างรัสเซียกับนาโต และระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ โดยมีเนื้อหาหลักให้นาโตหยุดขยายสมาชิกมาประชิดชายแดนรัสเซีย ไม่ให้ยูเครนเป็นสมาชิกของนาโต ให้ถอนขีปนาวุธที่คุกคามรัสเซียจากยุโรปออกไป แต่ข้อเสนอของปูตินถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิง

ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ และอังกฤษ กลับสั่งให้ยูเครนเร่งสงครามในดอนบาส ซึ่งเป็นการจุดชนวนให้ปูตินไม่มีทางเลือกต้องส่งกองทัพเข้าไปทำสงครามกับยูเครน ถ้าหากอังกฤษยอมรับแพกเกจความมั่นคงที่รัสเซียเสนอ สงครามยูเครนก็คงจะไม่เกิดขึ้น

มองโดยภาพรวมแล้ว สงครามยูเครนจึงเป็นสงครามต่อเนื่องของจักรวรรดิ

กษัตริย์ของอังกฤษ ปรัสเซีย เยอรมนี และรัสเซียเป็นพระญาติกัน แต่อังกฤษต้องการกำราบเยอรมนีและรัสเซียมาตลอดราชวงศ์วินด์เซอร์ของอังกฤษ เพื่อชิงความเป็นจ้าวในยุโรป

ความจริงแล้ว ราชวงศ์วินด์เซอร์ของอังกฤษมีรากเหง้ามาจากฮันโนเวอร์ในเยอรมนี เมื่อตอนเจ้าชายแห่งฮันโนเวอเรียน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) ที่มีอำนาจและอิทธิพลเหนือทั้งยุโรป เดินทางจากเยอรมนีมาเสวยราชสมบัติของอังกฤษในปี ค.ศ. 1714 พระเจ้าทรงพระนามว่าพระเจ้าจอร์จที่ 1

พระองค์พูดอังกฤษแทบไม่ได้เลย และทรงโปรดที่จะใช้เวลาที่เยอรมนีมากกว่า

พระเจ้าจอร์จที่ 2 ตรัสภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว ถูกต้องไม่เพี้ยน แต่ต้องรอถึงพระเจ้าจอร์จที่ 3 (1760-1820) กว่าที่หน่อเนื้อเชื้อไขจากราชวงศ์ของเยอรมนีจะเป็นที่ยอมรับของคนอังกฤษที่ต่อต้านกษัตริย์อิมพอร์ตมากขึ้น

ในช่วงสมัยของพระเจ้าจอร์จที่ 3 อังกฤษทำสงครามกับอาณานิคมอเมริกา แต่ในที่สุดอเมริกาก็ได้อิสรภาพในปี 1776

จักรวรรดิอังกฤษยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยควีนวิกตอเรีย (1837-1901) ซึ่งเป็นพระนัดดาของพระเจ้าจอร์จที่ 3 โดยอังกฤษมีดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลจนเรียกขานกันว่าพระอาทิตย์ไม่ตกดิน

พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 พระโอรสของควีนวิกตอเรีย (1901-1910) วางรากฐานของสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อให้อังกฤษมีชัยเหนือจักรวรรดิต่างๆ ในยุโรป ซึ่งในเวลานั้นมีจักรวรรดิปรัสเซีย จักรวรรดิออสเตรียนฮังการี จักรวรรดิออตโตมัน และจักรวรรดิรัสเซีย

เนื่องจากต้องทำสงครามกับเยอรมนี พระเจ้าจอร์จที่ 5 (1910-1936) โอรสของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 จึงเปลี่ยนชื่อราชวงศ์จากฮันโนเวอร์มาเป็นวินด์เซอร์ เพื่อกลบเกลื่อนข้อครหานินทา

ในสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) พระเจ้าจอร์จที่ 5 (1910-1936) โอรสของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ประกาศสงครามกับจักรวรรดิปรัสเซีย จักรวรรดิออสเตรียนฮังการี และจักรวรรดิออตโตมัน โดยอังกฤษเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย ฝรั่งเศส และสหรัฐฯ ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และกลายเป็นผู้ชนะสงครามโลก

ทั้งพระเจ้าจอร์จที่ 5 กับพระเจ้าไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 ของเยอรมนี และพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ของรัสเซีย เป็นพระญาติกัน

พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ก็เป็นพระญาติกับพระเจ้าจอร์จที่ 5 และมีพระพักตร์คล้ายกันมาก เหมือนกับถอดออกมาจากพิมพ์เดียว เนื่องจากพระมารดาของพระเจ้าซาร์ที่มีพระนามว่า Dagmar of Denmark เป็นพี่สาวของ Alexandra of Denmark ที่อภิเษกสมรสกับพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 และเป็นพระมารดาของพระเจ้าจอร์จที่ 5

ส่วนพระเจ้าไกเซอร์กับพระเจ้าซาร์ต่างก็เป็นพระญาติห่างๆ กัน เนื่องจากราชวงศ์ของยุโรปมีการแต่งงานไขว้กัน แต่ชะตากรรมทำให้พระเจ้าจอร์จที่ 5 พระเจ้าไกเซอร์ และพระเจ้าซาร์ต้องมาทำสงครามอาณาจักรกัน โดยอังกฤษเป็นพันธมิตรกับรัสเซียในการทำสงครามกับพระเจ้าไกเซอร์ และมีชัยในที่สุด แต่พระเจ้าซาร์ถูกปฏิวัติ และถูกปลงประชนม์พร้อมครอบครัวโดยพวกบอลเชวิคที่ได้รับการสนับสนุนจากซิตี้ ออฟ ลอนดอน และวอลล์สตรีท หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ผ่านไป 3 ปี

พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 (1936) พระโอรสของพระเจ้าจอร์จที่ 5 ครองราชย์ได้ไม่ถึงปี ยอมสละราชสมบัติเพื่อแต่งงานกับแม่ม่ายอเมริกันชื่อ Wallis Simpson

มีรายงานว่าพระองค์เป็นผู้ที่เห็นอกเห็นใจพวกนาซี

พระเจ้าจอร์จที่ 6 (1936-1952) ทรงเป็นพระอนุชาของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 พระองค์ไม่เคยคาดคิดว่าจะขึ้นมาเป็นกษัตริย์ แต่ได้ขึ้นครองราชย์หลังจากพระเชษฐาสละราชสมบัติ พระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิของอินเดียองค์สุดท้าย และเป็นประมุขของ British Commonwealth องค์แรก พระองค์เป็นพระบิดาของควีนเอลิซาเบธที่ 2

ในสมัยของพระเจ้าจอร์จที่ 6 อังกฤษทำสงครามโลกครั้งที่ 2 กับนาซีเยอรมนี ฟาสซิสต์อิสตาลี และญี่ปุ่น โดยได้รับความช่วยเหลือจากทั้งสหรัฐฯ และรัสเซีย และได้รับชัยชนะ แต่ต้องเลิกระบบอาณานิคม หันมาสร้าง British Commonwealth แทน แต่อย่างไรก็ตาม อังกฤษยังสามารถรักษาอำนาจของจักรวรรดิได้ทางอ้อมผ่านการครอบงำสหรัฐฯ อีกต่อหนึ่ง

ควีนเอลิซาเบธ (1952-2022) ขึ้นครองราชย์แทนพระเจ้าจอร์จที่ 6 ที่เป็นพระราชบิดา โดยครองราชย์นานที่สุดถึง 70 ปี และถือว่าเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดของอังกฤษ พอๆ กับสมัยของควีนเอลิซาเบธที่ 1 (1559-1603) ที่อังกฤษเริ่มสร้างความเป็นมหาอำนาจในยุโรป และแข่งกันมหาอำนาจยุโรปอื่นๆ ในการครอบครองโลกใหม่อเมริกา

จนถึงวันนี้ เยอรมนียังคงถูกจับมัดมือมัดเท้า แต่รัสเซียกลับมาผงาดอีกครั้งภายใต้การสร้างชาติใหม่ของปูติน ส่วนจีนกำลังกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ด้วยระบบเศรษฐกิจ การเงิน เทคโนโลยี และการทหารที่เข้มแข็ง ในยุคนี้จีนจับมือกับรัสเซียอย่างเหนียวแน่นเพื่อต้านทานกลุ่มแองโกลอเมริกัน ถ้าไม่มีอะไรสะดุด จีนจะกลายเป็นมหาอำนาจโลกแทนสหรัฐฯ ซึ่งทำให้กลุ่มแองโกลอเมริกันจะสูญเสียอำนาจต่อไป

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 (2022-ปัจจุบัน) ขึ้นมาครองราชย์ท่ามกลางความเสื่อมของจักรวรรดิ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน และเทคโนโลยี และแสนยานุภาพทางทหาร ที่ถูกจีนกับรัสเซียกำลังรุกไล่แซงหน้า

ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาที่ไปว่าทำไม ราชวงศ์อังกฤษจึงกำลังนำพาอังกฤษไปเผชิญหน้ากับรัสเซียในสงครามจักรวรรดิที่ต่อเนื่อง โดยมียูเครนเป็นสงครามตัวแทน และมีแนวโน้มที่อังกฤษจะร่วมมือกับสหรัฐฯ เข้าสู่ความขัดแย้งทางทหารกับจีนในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากทั้งจีนและรัสเซียกลายเป็นอุปสรรคในการรักษาความเป็นมหาอำนาจโลกผู้เดียวของกลุ่มแองโกลอเมริกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น