ในขณะนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ประเทศไทยก็จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นรูปแบบเบื้องต้นของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
แต่ก่อนถึงวันเลือกตั้ง ซึ่ง กกต.กำหนดไว้ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566
ดังนั้น ในช่วงนี้ทุกพรรคการเมืองต่างทุ่มเทเวลาให้กับการปราศรัยหาเสียง ประกาศนโยบายของพรรคพร้อมกับเปิดตัวผู้สมัครเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้นโยบายของพรรค และรู้จักหน้าตาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ทั้ง ส.ส.เขตและ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพื่อจะได้นำไปเป็นข้อมูลในการพิจารณาเลือกและไม่เลือกเป็นตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้ด้วยเหตุผลในทางการเมืองดังต่อไปนี้
1. พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งได้เสียงมากกว่าพรรคอื่น มีโอกาสได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น การเลือกพรรคจึงมีความสำคัญไม่น้อยกว่าการเลือกผู้สมัครเป็นรายบุคคล
ดังนั้น ถ้าท่านต้องการให้ระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทยก้าวหน้าอย่างเป็นระบบ ควรจะเลือกพรรคและผู้สมัครจากพรรคเดียวกัน
2. แต่จะเลือกพรรคและผู้สมัครจากพรรคใด จะต้องศึกษาและทำความเข้าใจนโยบายของพรรคให้รอบคอบในทุกด้านที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาประเมินความเป็นไปได้ และความเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ อย่าเลือกเพียงเพราะท่านชอบและไม่เลือกเพราะท่านไม่ชอบเป็นการส่วนตัว แต่ให้ยึดประโยชน์ที่ประเทศชาติและประชาชนจะได้รับโดยส่วนรวม
3. นอกจากนโยบายของพรรคแล้ว พฤติกรรมองค์กรของพรรค และพฤติกรรมอันเป็นปัจเจกของผู้สมัครแต่ละคนก็มีความสำคัญ ซึ่งจะต้องนำมาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจเลือก และไม่เลือกพรรคและผู้สมัครด้วย
ในการพิจารณาพฤติกรรมของพรรค และพฤติกรรมผู้สมัครจะต้องย้อนไปดูอดีตเพื่อนำมาพิจารณาความดีและความเป็นไปในปัจจุบัน ถ้าในอดีตที่ผ่านมาไม่ดี และในปัจจุบันไม่มีการเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น ก็ไม่ควรจะเลือกเพราะโอกาสที่อนาคตจะเป็นเหมือนอดีตเป็นไปได้สูง
อีกประการหนึ่ง ในขณะนี้นอกจากจะมีการปราศรัยหาเสียงและเปิดตัวผู้สมัครแล้ว ยังมีการจัดรายการทางทีวีเชิญผู้ที่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคมาแสดงวิสัยทัศน์ และถกเถียงกันในทางการเมือง เพื่อให้ประชาชนนำไปเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกและไม่เลือก ซึ่งนิยมทำกันในประเทศตะวันตก
แต่ในทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไป มีทั้งผู้ที่พร้อมจะไปร่วมและไม่พร้อมจะไปร่วม โดยให้เหตุผลส่วนตัวไว้อย่างน่าฟัง และคนที่ว่านี้ก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยให้เหตุผลว่า คนที่พูดเก่งมิได้หมายความว่าเป็นคนทำงานเก่ง ในทางตรงกันข้ามคนที่พูดไม่เก่ง มิได้หมายความว่าทำงานไม่เก่ง โดยยกตัวอย่างพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน
เมื่อพูดถึงสี จิ้นผิง ผู้นำประเทศจีน ที่ทำให้ประเทศจีนก้าวหน้าไปทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมไปถึงความมั่นคงและประโยคหนึ่งที่พูดบ่อยๆ ก็คือ พูดอย่างเดียวไม่ทำ ทำร้ายประเทศ ในขณะเดียวกัน การทำงานหนักทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรือง
จากตัวอย่างที่พล.อ.ประวิตร ยกมาเปรียบเทียบจะเห็นได้ว่า พล.อ.ประวิตร ยึดแนวทางทำให้ดูดีกว่าพูดให้ฟัง หรือตัวอย่างที่ดีย่อมดีกว่าคำสอนที่ดี
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้เขียนเห็นด้วยผู้นำควรจะทำให้ดูเป็นตัวอย่างมากกว่าพูดให้ฟัง