เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตชวนไปแวะแถวๆ “ตะวันออกกลาง”ตามที่เกริ่นๆ ไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั่นแหละทั่น!!! เพราะช่วงระหว่างนี้ต้องเรียกว่า...เกิดการพลิก-การเปลี่ยน แบบชนิด “หลังตีนเป็นหน้ามือ” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน โดยบรรดาความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวย่อมต้องส่งผลต่อภูมิภาคทั้งภูมิภาค หรือตลอดทั้งโลกเอาเลยก็เป็นได้ อีกทั้งยังน่าจะเป็นไปในทาง “บวก”หรือทางที่ทำให้ “หลังตีน”กลายเป็น “หน้ามือ”อันเป็นสิ่งที่น่าปลาบปลื้มปีติยินดีมิใช่น้อย...
ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงแนวคิดและท่าที ต่อ “สงคราม” อันสุดแสนมหาโหด อย่าง “สงครามเยเมน” ที่ต้องรบราฆ่าฟันกันมานานถึง 8-9 ปี ระหว่างชาวอาหรับและชาวมุสลิมด้วยกันเอง อย่างชาวซาอุดีอาระเบียและชาวเยเมน ส่งผลให้ผู้คนล้มตายนับเป็นแสนๆ หรือไม่ต่ำกว่า 377,000 คน ตามตัวเลขสถิติของสหประชาชาติ ผู้คนนับล้านๆ อดอยากและหิวโหย ขาดข้าว-ปลา-อาหาร-ยารักษาโรค ชาวเยเมนที่สุดจะจนแสนจนไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย ฯลฯ แต่มา ณ บัดนี้หรือเมื่อช่วงวันเสาร์สัปดาห์ที่แล้ว (8 เม.ย.) การเดินทางไปเยือนกรุงซานา ประเทศเยเมน โดยตัวแทนราชอาณาจักรซาอุฯ และโอมานที่มีพรมแดนประชิดติดต่อกับเยเมน และพยายามเล่นบทเป็น “ตัวกลาง”
ในการยุติความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายมาโดยตลอด เพื่อพบปะกับผู้นำสภาการเมืองสูงสุดของเยเมน “นายMahdi al-Mashat” โดยหวังจะหาลู่ หาทาง ที่จะทำให้ผู้ที่ต่างถือเป็นลูกหลาน “อิชมาเอล” ด้วยกันทั้งคู่ มีโอกาสได้บรรลุถึง “สันติภาพ” หรือในแบบที่ผู้นำกลุ่มกบฏฮูตี “นายMohammed al-Bukaiti” ตั้งความหวังและความปรารถนาต้องการไว้ว่า “จะนำไปสู่ชัยชนะของทั้งสองฝ่าย” ย่อมมีโอกาสเป็นจริง-เป็นจัง หรือเป็นไปได้ ในอีกไม่ช้า-ไม่นานนับจากนี้...
แม้อาจต้องใช้เวลาในการคลี่คลายอุปสรรค-ขวากหนาม อันเนื่องมาจากความหลากหลาย ความซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ของปมปัญหาความขัดแย้งต่างๆ อยู่พอประมาณ แต่ถ้าหากต่างฝ่ายต่างปรารถนาและต้องการ “สันติภาพ” ไปด้วยกันทั้งคู่ ไม่ได้อยากรบราฆ่าฟัน ล้างผลาญกันและกัน ตามคำยุแยงตะแคงรั่วของผู้ที่กระหาย “สงคราม” ผู้ที่อยากให้เกิดความขัดแย้งเพื่อที่จะได้ตักตวงผลประโยชน์ ได้ขายอาวุธล็อตใหญ่ๆ อย่างประเภทคุณพ่ออเมริกาและบรรดาพันธมิตรตะวันตกทั้งหลายโอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันน่าจะ “แฮปปี้เอนดิ้ง” ไปตามสภาพ ย่อมมีความเป็นไปได้ไม่มาก-ก็น้อย แค่เฉพาะทหารซาอุฯ ป่าวประกาศว่าจะเลิกปิดล้อม ขัดขวาง เส้นทางคมนาคม ขนส่ง ตามเมืองท่าต่างๆ ในเยเมน ขณะที่พวกกบฏฮูตีก็พร้อมจะเปิดสนามบินในกรุงซานาให้สามารถเข้าๆ-ออกๆ ได้โดยเสรี เพียงเท่านี้...ก็ย่อมส่งผลให้บรรดาประชาชนผู้ไม่รู้อีโหน่-อีเหน่มีโอกาสได้หายหิว ดับกระหาย มีโอกาสมีชีวิตรอดจากความอดๆ อยากๆ จากโรคภัยไข้เจ็บนับเป็นล้านๆ อันเป็นสิ่งที่ย่อมน่าปลาบปลื้มปีติยินดีอยู่แล้วแน่ๆ!!!
แต่ไม่เพียงแค่ “สงครามเยเมน” เท่านั้น...ที่ทำท่าว่าใกล้จบ ใกล้ปิดฉาก เพราะหลังจากความเป็น “คู่กัด-คู่อาฆาต” ระหว่าง 2 พี่เบิ้มในตะวันออกกลาง อย่างอิหร่านและซาอุฯ ได้รับการคลี่คลาย ประสานรอยร้าว โดยมีคุณพี่จีนเป็น “ตัวกลาง” ความเป็นไปในทาง “บวก” ตลอดทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกลาง ได้เริ่มแผ่ซ่าน แผ่รังสี ออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นรอยร้าว ระหว่างซาอุดีอาระเบียกับซีเรียที่ต้องตัดขาด ตัดสัมพันธภาพระหว่างกันและกันมานานถึง 10 กว่าปี แถมผู้นำอย่างประธานาธิบดี “Bashar al-Assad” แห่งซีเรีย ยังถูกรุมขย้ำ รุมกินโต๊ะ โดยบรรดาชาติอาหรับทั้งหลาย ที่ได้แรงยุ แรงเชียร์จากคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตกอีกนั่นแหละ แต่มาถึงบัดนี้...ไม่เพียงรัฐมนตรีต่างประเทศซีเรีย “นายFaisal Mekdad” จะเดินทางไปจับมือ ถือแขน กับรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศซาอุฯ “นายWaleed Al-Khereiji” ถึงกรุงริยาด เมื่อช่วงวันพุธสัปดาห์ที่แล้ว (12 เม.ย.) ผู้นำซาอุฯ ยังพร้อมที่จะส่งจดหมายเชิญไปยังประธานาธิบดี “al-Assad” ให้เข้าร่วมประชุมกลุ่มประเทศ “Arab League Summit” ที่ซาอุดีอาระเบียเป็นเจ้าภาพ ในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้...
และที่น่าสนใจ น่าสะกิดใจ เอามากๆ...ก็คือการพบปะเจรจา จับเข่า จับหัวหน่าวระหว่างตัวแทนประเทศซีเรีย-อิหร่านและตุรกี ที่กรุงมอสโก เมื่อไม่นานมานี้ ที่กำลังจะนำไปสู่การฟื้นฟูสัมพันธภาพ การลดความขัดแย้ง แตกต่าง บริเวณพรมแดนตุรกี-ซีเรีย โดยมีอิหร่านและเจ้าภาพรัสเซียเป็นผู้จัดให้นั่นเอง อันอาจส่งผลให้บรรดาพวก “ชาวเคิร์ด” ที่อาศัยอยู่บริเวณด้านตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรียและด้านใต้ของตุรกี ที่ถูกนำมาใช้เป็น “เครื่องมือ” สร้างความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศ และยังคงถูกคุณพ่ออเมริกานำมาใช้ “ตอกลิ่ม” สร้างความหวาดระแวงให้กับทั้งซีเรียและตุรกี ด้วยการส่งทหารอเมริกันนับร้อยๆ เข้าไปควบคุม ดูแลพื้นที่ หรือเข้าไป “ปล้นน้ำมัน” ซีเรียเอามาขายจนตราบเท่าทุกวันนี้ อาจได้รับการคลี่คลาย เกิดการขจัดอุปสรรคและข้อขัดแย้งต่างๆ จนทำให้การฟื้นฟูสัมพันธภาพโดยปกติระหว่างซีเรียกับประเทศสมาชิกนาโตอย่างตุรกี ที่ถูกตัดขาดมานานถึง 11 ปี อาจบรรลุถึง “สันติภาพ” ที่ต่อเนื่องและยั่งยืนขึ้นมาแบบจริงๆ-จังๆ...
ด้วยสีสัน บรรยากาศ ทำนองนี้นี่เองที่ทำให้แม้แต่มกุฎราชกุมารเจ้าชาย “Mohammed bin Salman” แห่งซาอุดีอาระเบียผู้เคยทรงพระเหี้ยม ทรงพระโหด ชนิด “ม.ม้า” วิ่งไล่แทบไม่ทัน ท่านยังอดไม่ได้ที่จะปรารภ รำพึง เอาไว้เป็นวิสัยทัศน์ เป็นวิชั่น ปรีชาญาณประมาณว่า โอกาสที่ภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งภูมิภาคจะกลายเป็น “ยุโรปใหม่” หรือ “The new Europe will be the Middle East” ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล อาจเป็นไปได้ขึ้นมาวันหนึ่ง-วันใดเอาเลยก็เป็นได้ หรือกลายเป็นภูมิภาคที่บรรดาชาวอาหรับทั้งหลายหันมาค้าๆ-ขายๆ ไม่คิดจะหันไปเข่นฆ่ากันและกันต่อไปอีกแล้ว โดยสามารถเดินทางเข้าๆ-ออกๆ ข้ามเขต-ข้ามแดน ชนิดไม่ต้องเสียเวลาทำวีซ่ง วีซ่า แบบเดียวกับบรรดาชาวยุโรปที่กลายสภาพเป็นอียู หรือเป็นสหภาพยุโรปอยู่ในทุกวันนี้ หรือกลายเป็นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่ง “สันติภาพ” ไปตลอดชั่วกาลนาน ต่างไปจากยุคที่ยังถูกพวกฝรั่งมังค่าเข้ามาครอบงำครอบครอง เข้ามายุแยงตะแคงรั่ว ให้เกิดการ “แตกแยก-แล้วปกครอง” มาโดยตลอดนั่นแล...
อันนี้นี่แหละ...ที่มันอาจทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดการเปลี่ยนผัน เปลี่ยนแปลง เกิดการ “พลิกหลังตีน-เป็นหน้ามือ” เอาง่ายๆ เพราะนั่นย่อมหมายถึงสิ่งที่เคยก่อให้เกิดบทบาท อิทธิพล ของคุณพ่ออเมริกาและโลกตะวันตกทั้งหลาย โดยเฉพาะบรรดา “ทหารอเมริกัน” ที่ถูกนำมาสอดแทรกไว้ในแทบทุกอณูของภูมิภาค ย่อมมีสิทธิ์สูญหาย หมดเกลี้ยง ไปจากภูมิภาคดังกล่าวเอาเลยก็ไม่แน่!!! หรือเป็นไปดังคำสัญญาของอิหร่านที่หวังจะล้างแค้น เอาคืน ต่อการลอบสังหารวีรบุรุษของชาติ อย่างนายพล “Qasem Soleimani” ช่วงยุค “ทรัมป์บ้า” ด้วยการขับไล่ทหารอเมริกันออกจากตะวันออกกลางชนิดไม่ให้เหลือติดปลายนวมแม้แต่คนเดียว ด้วยเหตุนี้...จึงไม่ถึงกับน่าแปลกใจมากมายสักเท่าไหร่ ที่บรรดาทหารอเมริกันนับร้อยๆ ที่ถูกทิ้งไว้ปล้นน้ำมันในซีเรีย แถวๆ เมือง “Al-Hasakah” เลยถูกปืนใหญ่ซีเรีย เครื่องบินโดรนอิหร่าน ประเคนหมัด-เท้า-เข่า-ศอกเข้าใส่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จนรัฐบาล “โจ ซึมเซา” ต้องสั่งให้เครื่องบิน F-15 ของอเมริกันเปิดฉากถล่มซีเรียกันอีกครั้ง...
แต่ที่น่าหวาดเสียวยิ่งไปกว่านั้น...คงหนีไม่พ้นไปจาก “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของคุณพ่ออเมริกา อย่างคุณทวดอิสราเอลนั่นเอง ที่ต้องโฮมอโลน ต้องหัวเดียวกระเทียบลีบ ไปพร้อมๆ กับ “ความเสื่อม” ของอเมริกาในภูมิภาคดังกล่าว โดยเฉพาะเมื่อวัน-สองวันมานี้ ที่ไม่เพียงต้องเจอกับจรวดกว่า 30 ลูกสาดเข้าใส่จากฝั่งเลบานอน จะด้วยเหตุเพราะการไล่ทุบ ไล่ตี บรรดาชาวมุสลิมในมัสยิด “Al-Aqsa” หรือไม่? ประการใด? ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่แม้แต่ “ที่ราบสูงโกลัน” ที่ตัวเองเคยยึดมาจากซีเรียตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 แล้วมาเปลี่ยนชื่อเป็น “ที่ราบสูงทรัมป์” ในช่วงรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ยังเริ่มถูกจรวด 6 ลูกจากฝั่งดามัสกัส ตกใส่หัวกบาลชาวยิวที่เข้าไปตั้งถิ่นฐาน ชนิดอาจต้องถูก “ทวงคืน” ขึ้นมาเมื่อไหร่? ตอนไหน? ก็ย่อมได้...
หรือทำให้ความหวังที่อยากจะเห็น “The Greater Israel” ของพวกขวาจัดในอิสราเอลทั้งหลาย ในอันที่จะขยายเขตแดนประเทศอิสราเอลเข้าไปถึงประเทศจอร์แดนหรือแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติสโน่นเลย ความหวังที่อยากจะเห็น “กรุงเยรูซาเล็ม” เป็นเมืองหลวงของประเทศโดยเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ ไม่ใช่แค่ “เมืองนานาชาติ” อย่างที่ประชาคมโลกหรือสหประชาชาติให้การรับรอง ฯลฯ ย่อมต้องมีอัน “แห้วกระป๋อง” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ โอกาสที่จะต้องยอมรับ ยอมจำนน ต่อความเป็น “ประเทศปาเลสไตน์” ควบคู่ไปกับประเทศอิสราเอล ยิ่งย่อมมีความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ยิ่งเมื่อบรรดาลูกหลานชาวยิวด้วยกันเองเริ่มหันมาขัดแย้ง แตกแยก ระดับใกล้ๆ กลายเป็น “สงครามกลางเมือง” เอาง่ายๆ จากความพยายามออกกฎหมายปฏิรูปศาลของผู้นำประเทศ เพื่อให้ตัวเองพ้นผิด พ้นข้อหาคอร์รัปชัน ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่อาจทำให้ภูมิภาคที่เต็มไปด้วย “สงคราม” และความขัดแย้ง แตกแยกมาโดยตลอด ย่อมมีสิทธิ์ที่จะพานพบกับ “สันติภาพ” อันมั่นคงและยั่งยืน ขึ้นมาได้ในวันใด-วันหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย!!!