ผู้นำทำเนียบขาวโจ ไบเดน เดินทางไปเยือนโปแลนด์เพื่อปั่นความสำคัญของสหรัฐฯ ที่เป็นหัวหอกในการสนับสนุนยูเครนด้านอาวุธและงบประมาณทำสงครามกับรัสเซีย
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ถือว่าเป็นการครบรอบ 1 ปีของสงครามซึ่งยังไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุดเพราะสหรัฐฯ และฝ่ายสายเหยี่ยวในกลุ่มนาโตไม่ยอมให้ยูเครนเจรจาสันติภาพเพื่อสงบศึกกับรัสเซีย และไม่มีทางเกิดขึ้นถ้าให้รัสเซียคืนพื้นที่ยึดครอง
นั่นหมายความว่าจากนี้ไปจะเป็นสงครามล้างผลาญอย่างเต็มที่ ขณะที่รัสเซียเร่งส่งกองกำลังโจมตีที่มั่นของฝ่ายยูเครนโดยใช้อาวุธทั้งรถถัง ปืนใหญ่ จรวด และโดรน รวมทั้งเครื่องบินขับไล่โจมตีกองกำลังยูเครนซึ่งขาดแคลนทุกอย่างในแนวรบ
รัสเซียหวังเผด็จศึกในเร็ววัน การโหมโจมตีเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่ายูเครนไม่มีทางที่จะชนะได้เพราะขาดแคลนยุทโธปกรณ์ทุกอย่าง ฝ่ายโลกตะวันตกไม่สามารถส่งความช่วยเหลือให้ได้ตามความต้องการ โดยเฉพาะเครื่องบินรบ
โจ ไบเดนถือว่ายูเครนเป็นตัววัดดวงว่าจะมีคะแนนนิยมเพียงพอลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ปีหน้าได้หรือไม่ ความนิยมปัจจุบันตกต่ำยากที่จะฟื้นฟูแม้จะปั่นข่าวเรื่องการยิงบอลลูนจารกรรมของจีนก็ตาม
ปัญหาของโจ ไบเดน ที่ยังไม่กล้าสู้อย่างเปิดเผยคือความฟิตของร่างกายและสุขภาพโดยรวม โดยเฉพาะขีดความสามารถในการรับรู้หรือ cognitive ability test หลังจากออกอาการ “เอ๋อ” หลายวาระในที่สาธารณะ
โจ ไบเดน เคยก้าวพลาดขณะไต่บันไดเครื่องบินอย่างน้อย 2 ครั้ง ตกจักรยาน 1 ครั้ง การยื่นมือให้คนจับโดยที่ไม่มีใครอยู่ เป็นอาการหลงลืมของคนวัย 80 ปี
อดีตแพทย์ประจำทำเนียบขาว รอนนี แจ็กสัน ซึ่งเป็นผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันได้เปิดเผยว่า โจ ไบเดน ได้ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเอง โดยเฉพาะประเด็นขีดความสามารถในการรับรู้
แจ็กสันเป็นแพทย์ประจำทำเนียบขาวในยุคของประธานาธิบดีบารัค โอบามา และโดนัลด์ ทรัมป์ บอกว่ารายงานสุขภาพของโจ ไบเดนที่ทำเนียบขาวแถลงไม่นานมานี้ไม่มีความหมาย ไม่ได้เปิดเผยประเด็นสุขภาพจิตและความสามารถในการรับรู้
อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทุกคนเปิดเผยข้อมูลสุขภาพจิตและความสามารถในการรับรู้ทุกคนแต่ โจ ไบเดน เป็นผู้สูงอายุที่สุด ในการทำโพลชาวเมริกันกว่า 60% มองว่าโจ ไบเดน แก่เกินไป ที่จะเป็นผู้นำประเทศ
ซ้ำร้ายสหรัฐฯ เป็นชาติมหาอำนาจอันดับ 1 และกำลังสู้รบกับรัสเซียทางอ้อมในสงครามยูเครน ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันมีความเสี่ยงสูงที่จะลุกลามกลายเป็นการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ด้วยการตัดสินใจผิดพลาด
โจ ไบเดน พยายามจะกลบข่าวที่ผู้สื่อข่าวอเมริกันเปิดโปงว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและสั่งการให้ระเบิดท่อก๊าซใต้ทะเลบอลติก ซึ่งเชื่อมระหว่างรัสเซียกับเยอรมนี แต่ไม่สามารถหักล้างข้อกล่าวหาได้
ที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐฯ ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ซีไอเอ กระทรวงการต่างประเทศ ทำเนียบขาว ออกแถลงการณ์ปฏิเสธสั้นๆ ว่าข้อกล่าวหาเรื่องการระเบิดท่อก๊าซเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ และอ้างว่าสหรัฐฯ ไม่เกี่ยว แต่หลักฐานแวดล้อมประกอบต่างชี้เป้าว่าสหรัฐฯ เป็นตัวการโดยนอร์เวย์ให้ความร่วมมือ
การเดินทางไปเยือนโปแลนด์ซึ่งให้ความร่วมมือกับนาโตและเป็นช่องทางผ่านอาวุธเข้าสู่ยูเครนจึงเป็นจังหวะเหมาะของ โจ ไบเดน ในการแก้ปัญหาอาการหิวแสงและความนิยมตกต่ำ
คนอเมริกันส่วนมากเริ่มรู้สึกว่าสหรัฐฯ ควรหยุดการช่วยเหลือยูเครนเพราะไม่ได้อะไรตอบแทน ที่ผ่านมารัฐบาล สหรัฐฯ ได้ใช้เงินไป 1.15 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่ากับงบประมาณของกระทรวงการต่างประเทศทั้งปี
วันอาทิตย์ที่ผ่านมาคนอเมริกันแนวคิดเสรีนิยมได้จัดกลุ่มให้มีการเดินขบวนประท้วงสงครามในยูเครนและเรียกร้องให้สหรัฐฯ เลิกยุ่งเกี่ยว นี่เป็นครั้งแรกการเดินขบวนต้านสงครามในยูเครน โดยมีอดีตวุฒิสมาชิกและผู้แทนร่วมขึ้นปราศรัยด้วย
คนอเมริกันโดยทั่วไปกำลังลำบากกับปัญหาค่าครองชีพ เนื่องด้วยเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นผลกระทบจากพลังงานราคาแพง เมื่อยุโรปไม่รับพลังงานจากรัสเซียโดยมาตรการคว่ำบาตรเศรษฐกิจนำโดยสหรัฐฯ ส่งผลกระทบย้อนกลับ
วันอาทิตย์ที่ผ่านมารัฐมนตรีกลาโหม อังกฤษนายเบน วอลเลซ ยอมรับว่ายุโรปไม่มีความพร้อมที่จะทำสงครามเพราะตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ใส่ใจเรื่องการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์และได้ส่งไปช่วยเหลือยูเครนทำให้อาวุธคลังแสงลดลง
กองทัพนาโตสามารถสู้รบด้วยกระสุนเพียงไม่กี่วันหรือสัปดาห์เท่านั้น ขณะที่รถถังอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมรบ ดังจะเห็นได้ว่ารถถังที่จะส่งไปยูเครนต้องใช้เวลาปรับปรุงให้อยู่ในสภาพดีพอในสมรภูมิ
การเยือนโปแลนด์ของ โจ ไบเดน คงเป็นการให้ความมั่นใจว่าสหรัฐฯ จะสนับสนุนยูเครนให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้หรือจนยูเครนเหลือคนสุดท้าย
ความแน่นอนปัจจุบันคือความพินาศย่อยยับของยูเครน พร้อมกับการสูญเสียชีวิตของทหารและพลเรือนที่ถูกลูกหลงรวมทั้งความลำบากจากวิกฤตสงครามด้วย
นอกจากยูเครนจะไม่ชนะสงครามแล้ว ยังจะเหลือความเป็นชาติอยู่หรือไม่ นี่คือคำถามที่ผลสุดท้ายของสงครามจะให้คำตอบ