xs
xsm
sm
md
lg

ไม่ใช่“เดินละเมอ”แต่โลกกำลัง“เดินสวนสนาม”สู่สงคราม!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


Antonio Guterres เลขาธิการสหประชาชาติ
ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตแวะไปเยี่ยมคุณพี่จีนเขาไว้สักหน่อย เพราะอย่างน้อย...ท่านก็ยังพอมีน้ำจิต-น้ำใจเปิดกว้าง-เปิดประเทศ อุตส่าห์ส่งบรรดานักท่องเที่ยวมาให้คุณ “ตำหนวด” บ้านเรารีดๆ ไถๆ อย่างเป็นระบบและกิจการ แต่อย่างที่พอทราบๆ กันไปแล้วนั่นแหละว่า วัน-สองวันก่อน...ท่านถูกคุณพ่ออเมริกาจัดหนัก-จัดเต็ม ถึงขั้นใช้เครื่องบินรบ เครื่องบินโจมตี ระดับ “F-22 Stealth fighter” เอาเลยถึงขั้นนั้น ยิงจรวด “AIM-9X” ถล่มใส่ “บอลลูนตรวจอากาศ” ของเอกชนจีน ที่เผอิญพลัดหลงถูกลมหอบเข้าไปลอยเท้งเต้งอยู่เหนือน่านฟ้าอเมริกา ชนิดแหลกลาญ ยับเยิน ไปเป็นชิ้นๆ...

คืออันที่จริง...ช่วงระหว่างนี้คุณพี่จีนท่านคงมุ่งมาด มุ่งมั่น มุ่งเพ่งสมาธิอยู่กับเรื่อง “เศรษฐกิจ-ธุรกิจ” หรือเรื่องการค้า การเงิน-การทองนั่นแหละเป็นหลัก ไม่ได้คิดจะเน้นหนักในเรื่อง “การเมือง-การทหาร” มากมายสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุเพราะตัวเลขเศรษฐกิจ หรือตัวเลขจีดีพีปีที่แล้ว ที่ท่านเคยตั้งเป้าเอาไว้ถึง 5 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ เอาไป-เอามาเหลือแค่ 3 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ เท่านั้นเอง สิ่งที่ถือเป็นวาระเร่งด่วน เป็นเรื่องสำคัญของพญามังกรจีนเขา จึงหนีไม่พ้นไปจากความพยายามหาทางทำให้เศรษฐกิจฟื้นคืนกลับสู่สภาพเดิมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ซึ่งนอกจากจะถือเป็นการช่วยเหลือระบบเศรษฐกิจของตัวเองแล้ว ยังอาจถือเป็นการช่วยกอบกู้ ฟื้นฟู เศรษฐกิจโลกควบคู่ไปด้วยก็ว่าได้ เพราะบรรดา “เครื่องยนต์เศรษฐกิจ” เครื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกา ไปจนญี่ปุ่น ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ “เดี้ยง” ไปเป็นแถบๆ เหลือเพียงเศรษฐกิจจีน หรือไม่ก็ “เศรษฐกิจใหม่” ของบรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายนั่นแหละ ที่อาจพอช่วยฟื้นอาการสลบเหมือด สลบยาว ได้บ้างแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี...

ด้วยเหตุนี้...แม้จะถูก “ยั่วยวนกวนส้นตีน” จากคุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด แต่ความพยายาม “ปรับตัว-ปรับท่าที” เพื่อแสวงหา “ความร่วมมือ” จากมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา จึงปรากฏให้เห็นอย่างเป็นที่ชัดเจน ไม่ว่าโดยการส่งรองนายกรัฐมนตรีและผู้นำการเจรจาทางการค้าจีน-สหรัฐฯ อย่าง “นายหลิว เหอ” (Liu He) ไปพบปะ เจอหน้า-เจอตากับรัฐมนตรีคลังอเมริกา “นางเจเน็ต เยลเลน” (Janet Yellen) ถึงเมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์โน่น หรือถึงขั้นยอมเปลี่ยนตัว “นักรบหมาป่า” (Wolf Warrior) อย่าง “นายจ้าว ลี่เจียน” (Zhao Lijian)โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ที่เคย “ด่าอเมริกา” ได้เจ็บๆ แสบๆ ยิ่งกว่า “ป๋าเปลว สีเงิน” แห่งไทยโพสต์ “ด่าทักษิณ” อะไรประมาณนั้น ให้ไปนอนตบยุงอยู่ในตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการเขตแดนทางทะเลและมหาสมุทร เอาเลยถึงขั้นนั้น ฯลฯ ฯลฯ...

แต่ก็นั่นแหละ...บรรดาสิ่งเหล่านี้ ดูเหมือนแทบไม่ได้ก่อให้เกิดความซาบซึ้งตรึงใจ ความเข้าถึง-เข้าใจ แทบไม่ได้ช่วยลด ช่วยทุเลาอาการหยาบๆ ถ่อยๆ ของคุณพ่ออเมริกาเอาเลยแม้แต่น้อย รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ที่มีกำหนดการเดินทางไปเยือนแอฟริกาหลังจากได้เจอกับรองนายกฯ จีนเรียบร้อยแล้ว ก็เลยหันมาด่า หันมาแว้งกัดจีนในเรื่องการสร้างหนี้ให้ประเทศแทนซาเนียกันแทนที่ ขณะที่ตัวประธานาธิบดี คุณปู่ “โจ ซึมเซา” ก็ยังคงออกแรงยุแรงเชียร์ พยายามกดดันผู้นำเนเธอร์แลนด์-ญี่ปุ่นให้เลิกส่งออก “ชิป” ไปขายจีน ทั้งที่กรรมการผู้จัดการ “IMF” เพิ่งออกมาเตือนเอาไว้ว่า การกระทำเช่นนี้อาจก่อให้เกิดความย่อยแยกแตกกระจายทางภูมิเศรษฐศาสตร์ หรือเป็นการทำลายธุรกิจห่วงโซ่อุปาทาน ที่เคยช่วยผูกโลก โยงโลกเข้าไว้ด้วยกัน อันอาจส่งผลให้ “เศรษฐกิจโลก” ที่ทำท่าว่าจะแย่อยู่แล้ว ยิ่งมีแต่ “แย่...กับ...แย่” หนักขึ้นไปใหญ่ ขณะที่เรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯ (US Nimitz) ก็ยังคงลอยลำยั่วยวนกวนส้นตีนมังกรจีน ในบริเวณน่านน้ำทะเลจีนใต้ต่อไปเช่นเคย แถมรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ยังพยายามกดดัน โน้มน้าว ผู้นำฟิลิปปินส์ (Ferdinand Marcos Jr.) ที่เพิ่งถ่อเดินทางไปเยือนจีนมาหมาดๆ ให้ต้องยอมรับ ยอมอนุญาต ให้ทหารอเมริกันเข้าถึงฐานทัพ 4 แห่งในฟิลิปปินส์ อันถือเป็นการเพิ่มความเข้มข้นในการ “ปิดล้อมจีน” ให้หนักหน่วงยิ่งขึ้นไปอีก นั่นยังไม่รวมถึงการเตรียมคิดติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลางในญี่ปุ่น ที่สามารถยิงเข้าไปถล่มจีน-รัสเซีย-เกาหลีเหนือ ดังที่หนังสือพิมพ์ “Sankei” ของญี่ปุ่นได้รายงานไว้เมื่อช่วงวันเสาร์ (4 ก.พ.) ที่ผ่านมา ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ออกจะสะท้อนให้เห็นถึงความใจพาล สันดานหยาบของคุณพ่ออเมริกา อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย...

ยิ่งถึงขั้นต้องงัดเอาจรวดมาถล่มใส่บอลลูนตรวจอากาศให้ยับเยิน แหลกลาญไปเป็นชิ้นๆ ทั้งที่ตอนที่บอลลูนลูกนี้ลอยสะเปะสะปะข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกเข้าไปยังฝั่งอะแลสกา กว่าจะข้ามประเทศแคนาดาเข้าไปถึงอ่าวเซาท์ แคโรไลนา จุดที่ถูกยิง ถูกสอย ระยะห่างปาเข้าไปถึง 5,637 กิโลเมตร หรือ 3,503 ไมล์ ต้องใช้เวลาเป็นวันๆ เอาเลยก็ว่าได้ หรือไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงกว่าๆ ถ้าหากมีความเร็วสูงถึง 560 ไมล์ต่อชั่วโมง การตั้งข้อกล่าวหาว่าบอลลูนดังกล่าวเป็นเครื่องมือ “จารกรรม” ไม่ว่าโดยรัฐมนตรีกลาโหม หรือถึงขั้นรัฐมนตรีต่างประเทศต้องหยิบมาเป็นเหตุผล ข้ออ้าง ในการ “เลื่อนการเดินทาง” ไปเยือนจีน มันเลยเป็นอะไรที่ไม่ค่อยเข้าท่า เข้าทาง ไม่สมเหตุ-สมผล อย่างเห็นได้โดยชัดเจน หรือกลับเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความ “กลัวจีน-เกลียดจีน” ที่ฝังรากลึกอยู่ในหมู่นักการเมืองอเมริกัน ไม่ว่าพรรครัฐบาลอย่างเดโมแครต หรือพรรคฝ่ายตรงข้ามอย่างรีพับลิกัน ที่ต่างออกมายุออกมาเชียร์ ให้คุณปู่ “โจ ซึมเซา” เร่งฉีดสเตียรอยด์เพื่อเล่นงานบอลลูนจีน แบบกระเหี้ยนกระหือรือเอามากๆ...

อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้โอกาสที่จะเกิด “ความร่วมมือ” ระหว่าง 2 มหาอำนาจเศรษฐกิจเบอร์ 1 และเบอร์ 2 ในอันที่จะกอบกู้ “เศรษฐกิจโลก” ให้พอหายใจ หายคอ พอลืมตา อ้าปาก ได้มั่ง คงเป็นอะไรที่ “ยากส์ส์ส์” สุดขีด ความพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกาและจีน หลังการพบปะของ 2 ผู้นำที่เมืองบาหลีประเทศอินโดนีเซีย หรือในช่วงการประชุม “G20” เมื่อไม่นานมานี้ เลยออกอาการ “แห้วกระป๋อง” ชนิดเปิดฝายังไงก็เปิดไม่ออก เพราะการใช้จรวดถล่มบอลลูนจีนที่ฝ่ายจีนเขาอุปมา-อุปไมยว่าไม่ต่างไปจากการ “ใช้ปืนใหญ่ไล่ยิงยุง” ทำนองนั้น มันคือภาพสะท้อนถึงความรู้สึกส่วนลึกของคุณพ่ออเมริกา ว่าคงไม่คิดจะอยู่ร่วมโลก คิดจะ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” กับพญามังกรจีนโดยเด็ดขาด!!!

ดังนั้น...แม้ว่าฉากเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ถึงกับถือเป็นเรื่องใหญ่-เรื่องโต แทบไม่ต่างไปจากอุบัติเหตุ ความบังเอิญ ก็ตามที แต่มันเป็นตัวตอกย้ำให้เห็นถึง “จุดยืน” ของรัฐบาลอเมริกันต่อมหาอำนาจคู่แข่งไม่ว่าจีนหรือรัสเซีย อย่างมิอาจผันแปรไปเป็นอื่นหรืออย่างที่นักประวัติศาสตร์อเมริกันและผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชีย-แปซิฟิก “นายJames Bradley” เขาได้สรุปเอาไว้กับสำนักข่าว “Sputnik” เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “สหรัฐอเมริกามีแผนที่จะทำสงครามกับจีน แม้ว่าขณะนี้เรายังคงต้องทำสงครามตัวแทนกับรัสเซีย หรือที่รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนีออกมาบอกว่าเรากำลังทำสงครามกับรัสเซียโดยตรงก็ตาม โดยพวก...ไอ้โง่!!! ในรัฐบาลไบเดนกำลังคิดว่า หลังจากสามารถโค่นรัสเซียได้แล้ว...รายต่อไปก็คือจีน!!!”

ด้วยเหตุนี้...เอาเป็นว่า “โง่-ไม่โง่” ก็แล้วแต่จะไปคิดกันเอาเอง แต่อาจเพราะแนวคิด วิธีคิด ทำนองนี้นี่เอง ที่ทำให้เลขาธิการสหประชาชาติ “นายAntonio Guterres” ท่านเลยอดไม่ได้ต้องออกมาพูด ออกมาเตือน เอาไว้เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (6 ก.พ.) หรือหลังจากได้รับรู้ รับทราบ ถึงการตัดสินใจส่งรถถังอเมริกัน-รถถังเยอรมนี ไปให้กองทัพยูเครนไว้สู้กับรัสเซีย ด้วยอารมณ์-ความรู้สึกที่ออกจะน่าสยดสยอง น่าขนลุก-ขนพองมิใช่น้อย นั่นคือคำพูดที่ว่า... “ประชาคมโลกทุกวันนี้...ไม่ได้เดินละเมอเข้าสู่สงครามแต่อย่างใด...แต่กำลังเดินสวนสนามเข้าสู่สมรภูมิอันกว้างขวางใหญ่โต ทั้งๆ ที่ยังลืมตาอยู่นี่แหละ บรรดาช่องทางที่ถือเป็นโอกาสของสันติภาพจึงถูกรื้อทิ้งไปเป็นแถบๆ และทำให้แนวโน้มแห่งการยกระดับไปสู่ความนองเลือดกำลังยิ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุเพราะความล้มเหลวแห่งวิสัยทัศน์และอคติที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างไหลไปในทิศทางดังกล่าว การแสดงออกในลักษณะเช่นนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นความไร้เหตุผลอย่างเห็นได้โดยชัดเจน แต่ยังถือเป็นความไร้ศีลธรรมควบคู่ไปด้วย!!!” นี่...ฟังแล้วพอได้เกิดความรู้สึกปวดแสบ ปวดร้อน หรือยังพร้อมจะด้าน พร้อมจะหยาบๆ ถ่อยๆ อีกต่อไป อันนี้...คงต้องหันไปสอบถามคุณพ่ออเมริกาเอาเองก็แล้วกัน…


กำลังโหลดความคิดเห็น