xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อ 2 ป.ชิงเก้าอี้นายกฯ กันเอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



จดหมายของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณที่ถูกเปิดเผยออกมานั้นมีน้ำเสียงของความน้อยเนื้อต่ำใจต่อน้องรักพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยบอกว่า รักกัน “3 ป. Forever” ที่บัดนี้ถึงเวลาต้องแยกจากกัน

พล.อ.ประวิตรพูดถึงการทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองความปรารถนาของพล.อ.ประยุทธ์ที่จะทำงานการเมืองต่อหลังบ้านเมืองเข้าสู่โหมดประชาธิปไตย คือต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งจึงตั้งพรรคพลังประชารัฐมาตอบสนองแรงปรารถนาของพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งทำให้พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีตามความปรารถนา

“เมื่อกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น เตรียมพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้งเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ ก็แสดงความประสงค์จะทำงานการเมือง โดยอ้างว่าเพื่อสานต่อภารกิจที่ดำเนินการไว้ให้สำเร็จ ผมจึงตัดสินใจสนับสนุนให้มีการตั้งพรรคพลังประชารัฐ เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งและเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ให้กลับมาเป็นนายกฯ ตามที่เจ้าตัวปรารถนา”

ใครก็รู้ว่าการกวาดต้อนนักการเมืองหลายเผ่าพันธุ์มาร่วมพรรคพลังประชารัฐนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือและคอนเนกชันของพล.อ.ประวิตรผู้มากบารมี

พล.อ.ประวิตรรู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์นั้นไม่มีความเจนจัดทางการเมือง การเข้ามารับตำแหน่งในรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์หลังทำรัฐประหาร พล.อ.ประวิตรเปรียบเหมือนลมใต้ปีกที่ช่วยประคับประคองพล.อ.ประยุทธ์ให้เดินไปอย่างมั่นคง

ถ้าจะจับใจความในจดหมายของพล.อ.ประวิตรก็ต้องบอกว่า วันที่ต้องการให้ช่วยเหลือพี่ก็ช่วยทุกอย่างเพื่อให้น้องรักษาอำนาจเอาไว้ให้ได้ แต่พอถึงวันที่น้องอยากจะรักษาอำนาจเอาไว้ได้ต่อก็สลัดพี่ทิ้งไป คงแปลความอย่างอื่นไปไม่ได้มากกว่านี้จริงๆ

ก่อนจะมีจดหมายฉบับนี้พล.อ.ประวิตรก็เคยพูดในสภาฯ ไว้แล้วว่า “เรื่องของการปฏิวัติผมก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้อง นี่ครับคนปฏิวัติ ท่านนายกฯ คนเดียว (ได้ชี้ไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ) ท่านอนุพงษ์ก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง คุณก็เอาผมไปเกี่ยวข้อง ผมยังไม่รู้เลยว่าจะปฏิวัติเมื่อไร”

เราไม่รู้หรอกว่า ณ เวลาที่พล.อ.ประวิตรพูดนั้นความสัมพันธ์ลึกๆ เป็นอย่างไร เพราะหน้าฉากก็พูดว่ารักกันเสมอมา

ที่ผ่านมา แม้ว่าพล.อ.ประยุทธ์จะได้รับการเสนอชื่อจากพรรคพลังประชารัฐให้เป็นนายกรัฐมนตรี การไม่เป็นสมาชิกพรรคและบุคลิกส่วนตัวของพล.อ.ประยุทธ์ทำให้เขาเหินห่างกับนักการเมือง แม้จะเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลแต่นักการเมืองในพรรคแทบจะไม่ได้ประโยชน์จากสิ่งนี้เลย แต่เพราะมีพล.อ.ประวิตรแบกรับภารกิจในพรรคทำให้ปัญหาคลื่นลมในพรรคสงบลงได้ และภายหลังพล.อ.ประวิตรกระโดดเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเอง เพื่อดูแลปัญหาทางการเมืองให้พล.อ.ประยุทธ์อย่างเต็มตัว

เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีจนใกล้ครบสมัยเลือกตั้งภายใต้การสนับสนุนของพรรคพลังประชารัฐ และพล.อ.ประยุทธ์เป็นได้อีกเพียง 2 ปี ในขณะที่ 1 สมัยของการเมืองนั้นกำหนดไว้ 4 ปี ใครต่อใครก็คาดเดากันว่า พล.อ.ประยุทธ์จะวางมือ และพูดว่า “ผมพอแล้ว” เพื่อตามรอยของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่แรงปรารถนาของพล.อ.ประยุทธ์กลับไม่หมดแค่นั้นเขาต้องการไปต่อ และเพิ่งพูดในการแสดงตัวเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติว่า ไม่ต้องการมีอำนาจ เพราะมีอำนาจมาเยอะแล้ว แต่ประเทศไทยต้องไปต่อ

นั่นหมายความว่าสุดท้ายแรงปรารถนาของพล.อ.ประยุทธ์ยังไม่หมดแม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 8 ปี และเหลือเวลาที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญอีกเพียง 2 ปี พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีให้ครบ 10 ปี

การไม่อยู่กับพรรคพลังประชารัฐที่สนับสนุนตัวเองมาต่อของพล.อ.ประยุทธ์นั้น ไม่รู้เพราะมีข่าวคราวออกมาหรือไม่ว่าพรรคจะเสนอชื่อของพล.อ.ประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย ถ้าจำกันได้ในการที่พรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อของพล.อ.ประยุทธ์ครั้งแรกนั้นต้องการเสนอชื่อของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และนายอุตตม สาวนายน ด้วย แต่พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอม ทั้งที่การเสนอชื่อคนอื่นด้วยก็ไม่มีผลอะไรเลย ไม่รู้เป็นไปได้หรือไม่ที่พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมที่จะให้เสนอชื่อพล.อ.ประวิตรด้วย จึงออกไปอยู่พรรคที่ให้คนตั้งเตรียมเอาไว้

แม้ในทางนิตินัยพรรครวมไทยสร้างชาติจะเป็นคนอื่นก่อตั้งพรรคและพล.อ.ประยุทธ์เพิ่งจะเข้าไปร่วมเมื่อไม่กี่วันนี้ที่เปิดตัวกันที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ก็ตาม แต่รู้กันว่าพรรคนี้ตั้งขึ้นมาตามความปรารถนาของพล.อ.ประยุทธ์นั่นแหละ

หรือพล.อ.ประยุทธ์อาจจะมีปัญหาค้างคาใจกับพล.อ.ประวิตรเมื่อครั้งที่เกือบจะถูกร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ก่อหวอดโหวตคว่ำกลางสภาฯ กระทั่งมีการปล่อยข่าวออกมาว่า มีการแอบอ้างเบื้องสูงว่า ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลง แต่พล.อ.ประยุทธ์ก็ไหวตัวทันวิ่งเข้าไปเคลียร์ใจกับพล.อ.ประวิตรที่ป่ารอยต่อในค่ายทหาร ทำให้ธรรมนัสต้องเลิกล้มแผนการ และถูกพล.อ.ประยุทธ์สั่งปลดจากตำแหน่งหลังจากนั้น

ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าแผนการของธรรมนัสที่เชื่อกันว่า มีดีลลับกับคนแดนไกลนั้นพล.อ.ประวิตรจะไม่รู้มาก่อน

ถ้าพูดอย่างเป็นธรรมกรณีนี้ก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พล.อ.ประยุทธ์คิดว่า เขาไม่อาจอยู่ในพรรคนี้อีกต่อไป แม้จะสนับสนุนให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามวันนี้ความสัมพันธ์ของพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตรแม้ว่าจะยืนยันว่า ยังรักกันแต่เบื้องหลังคำพูดนั้นก็เชื่อว่า ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว และเป็นไปได้ว่าสุดท้ายแล้วทั้งสองคนอาจจะโคจรมาเป็นคู่แข่งนายกรัฐมนตรีจากการโหวตในสภาฯ ก็ได้

เมื่อผู้สื่อข่าวถามพล.อ.ประวิตรว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับการสนับสนุนจากพรรครวมไทยสร้างชาติให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเช่นกัน ตรงนี้จะถือว่าเป็นคู่แข่งหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ถือเป็นน้องไม่ถือว่าคู่แข่งกัน แต่ถ้าทางการเมือง ใครดีกว่าคนนั้นก็เป็นไป

ถ้าถามว่าระหว่างพล.อ.ประยุทธ์กับพล.อ.ประวิตร ณ เวลานี้ใครดีกว่า ก็ต้องบอกว่า เป็นพล.อ.ประวิตร เพราะถ้าขั้วรัฐบาลเดิมสามารถรวบรวมเสียง ส.ส.ได้เกิน 250 คนเพื่อจัดตั้งรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐก็พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งในขั้วการเมืองนี้ แต่ถ้าฝั่งพรรคฝ่ายค้านในปัจจุบันสามารถรวบรวมเสียงได้เกินครึ่ง พรรคพลังประชารัฐก็อาจจะร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยได้ด้วย ตอนนี้ใครต่อใครและโพลต่างก็ชี้ว่าโอกาสของพรรคฝ่ายค้านมีมากกว่า

แน่นอนว่าถ้าฝั่งฝ่ายค้านปัจจุบันรวมเสียงได้เกิน 250 คนในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ปิดโอกาสของฝ่ายขั้วรัฐบาลจะตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ แต่ถ้าทุรังใช้เสียง ส.ว.โหวตช่วยเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็บริหารประเทศไม่ได้ และถ้า ส.ว.ฝืนมติประชาชนแบบนั้นความวุ่นวายบนท้องถนนก็จะตามมา

การที่พล.อ.ประวิตรมี ส.ว.จำนวนหนึ่งอยู่ในมือ อาจจะกลายเป็นเงื่อนไขต่อรองกับทักษิณว่าต้องการให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะไม่เช่นนั้นแม้จะได้เสียงข้างมาในสภาผู้แทนเกิน 250 คนก็ยากที่จะได้เสียงของสองสภาเกิน 376 คน ถ้าทักษิณยอมรับเงื่อนไขนี้ เราก็อาจเห็นการแข่งขันชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีระหว่างพี่น้อง 2 ป.ในสภาฯ ครั้งหน้าก็เป็นไปได้

ถ้าย้อนคำพูดของพล.อ.ประวิตรว่า ใครดีกว่าก็ได้ไป ก็คงต้องบอกว่าหากถึงวันนั้นแต้มต่อก็จะอยู่ที่พล.อ.ประวิตรอย่างแน่นอน

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น