xs
xsm
sm
md
lg

จดหมายไม่ผิดซอง ลุงป้อมโซ่ข้อกลางเชื่อม พท.!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เมืองไทย 360 องศา

ถือว่าชัดเจนแจ่มชัดกันไปแล้ว ว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง “พี่ป้อม” กับ “น้องตู่” จากข้อความในจดหมายเปิดใจของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันก่อน ที่แม้ว่า ย้ำความสัมพันธ์ยังแนบแน่นกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ไปร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ทำนองว่า ไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอื่น ยังเป็นแบบ “FOREVER” ตลอดไปก็ตาม แต่สำหรับในทางการเมือง มีการสื่อความหมายออกมาชัดเจนแล้วว่า เป็นคู่แข่ง และ “ทางใครทางมัน”

“เป็นที่ทราบกันดีว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยครั้งใหญ่ หลังการรัฐประหารโดย คสช. เมื่อ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ด้วยความจำเป็นของกองทัพ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในขณะนั้น ต้องออกจากกรมกอง มายุติวิกฤตการณ์ของบ้านเมืองที่ก่อตัวมานานนับปี จนสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ชื่อเสียงประเทศ และบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ

ขณะนั้น ผมเกษียณอายุราชการจากตำแหน่ง ผบ.ทบ.ไปตั้งแต่ พ.ศ. 2548 จึงทำได้เพียงเฝ้าติดตามสถานการณ์ด้วยความเป็นห่วง เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จัดตั้งรัฐบาลเพื่อปฏิรูปบ้านเมือง และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผมก็ได้ตอบรับเข้าร่วมรัฐบาลในตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เพื่อหวังจะช่วยประคับประคองสถานการณ์ให้คืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

ต้องยอมรับความจริง ว่า คสช.ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านการเมือง เพราะต่างก็เป็นทหารอาชีพมาทั้งชีวิต ฝึกฝนเรียนรู้มาในด้านการปกป้องอธิปไตยของชาติ ตัวผมเองก็เช่นกัน แม้จะเคยเป็นรมว.กลาโหม ในรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการเมือง จึงทำได้เพียงช่วยดูแลเหล่าทัพให้มีเสถียรภาพเท่านั้น

ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากประชาชนให้รีบจัดการเลือกตั้งทั่วไป รัฐบาลในขณะนั้นก็ตระหนักดีถึงความต้องการของประชาชน และความชอบธรรมของรัฐบาลจากการเลือกตั้ง รวมไปถึงการยอมรับจากประชาคมโลก จึงเร่งผลักดันกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว

เมื่อกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น เตรียมพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้งเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ ก็แสดงความประสงค์จะทำงานการเมือง โดยอ้างว่า เพื่อสานต่อภารกิจที่ดำเนินการไว้ให้สำเร็จ ผมจึงตัดสินใจสนับสนุนให้มีการตั้งพรรคพลังประชารัฐ เพื่อสู้ศึกเลือกตั้ง และเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ให้กลับมาเป็นนายกฯ ตามที่เจ้าตัวปรารถนา

ในช่วงเวลาของการเป็นแกนนำรัฐบาล มีทั้งเรื่องที่ผมเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจใน ครม. แต่จำเป็นต้องสงวนท่าทีตามมารยาททางการเมือง ประกอบกับยังไม่มีอะไรชัดเจนว่ามติในเรื่องใดๆ จะก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นกับบ้านเมือง

มาบัดนี้ ชัดเจนแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ แสดงจุดยืนทางการเมือง เมื่อวันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 ว่า จะแยกทางจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่เคยสนับสนุนขึ้นเป็นนายกฯ เพื่อไปร่วมงานการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ตรงกับที่สื่อมวลชนไปสืบข่าวมาก่อนหน้านี้ ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นพรรคสำรองให้กับ พล.อ.ประยุทธ์

ผมเคยกล่าวไว้ว่า “3 ป. Forever” มาวันนี้ ผมก็ยังมีความรู้สึกเช่นเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในเมื่อท่านตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ผมก็ไม่สามารถจะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ คงจะบอกได้เพียงว่า ผมขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย ขอให้ประสบความสำเร็จบนเส้นทางการเมืองใหม่ที่ท่านได้ตัดสินใจเลือกแล้ว

สำหรับผม พล.อ.ประวิตร ขอประกาศในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่า จะขอรับผิดชอบและจะไม่มีวันทอดทิ้งสมาชิกพรรคทุกคน ที่เคยทำงานการเมืองมาด้วยกัน และพร้อมจะเดินนำทุกคนที่มีความเชื่อมั่นในความตั้งใจอันแน่วแน่ของผม เข้าสู่การเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตยต่อไป เพื่อกลับมาเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลบริหารบ้านเมืองอีกครั้ง”

นั่นเป็นข้อความในจดหมายเปิดใจของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ต้องการสื่อไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และแน่นอนว่า หากพิจารณาจากข้อความในจดหมายบางช่วงบางตอน มันเหมือนกับมี “เจตนาบางอย่าง” เช่น ในเรื่อง “ความรับผิดชอบ” หรือ “การทอดทิ้งสมาชิกพรรค” (ที่เคยสนับสนุนให้เป็นนายกฯ) เป็นต้น

แม้ว่า ก่อนหน้านี้ จะมีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าเป็น “จดหมายปลอม” ไม่ใช่จดหมายของ “บิ๊กป้อม” ก็ตาม เพราะแม้แต่ พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในตอนแรก ก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นของจริง จนกระทั้งต้องเช็กแล้วถึงยอมรับในภายหลัง

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในทางการเมืองก็ต้องมองว่า นี่คือ การ “แยกกันแล้ว” ในทางการเมืองแบบ “ทางใครทางมัน” และในเส้นทางข้างหน้า ทั้งคู่ยังเป็น “คู่แข่ง” ในเป้าหมายเดียวกัน คือ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาความหมายในจดหมายดังกล่าว มันก็เหมือนกับการ “โยนขี้” ใส่เต็มๆ ในลักษณะที่ว่า “บิ๊กตู่ เป็นคนก่อรัฐประหาร-ทิ้งพรรคที่เคยสนับสนุน-ไม่รับผิดชอบสมาชิกพรรค” ขณะที่ “ลุงป้อม” มีแต่สนับสนุนโดยไม่ปริปากบ่น แต่เมื่ออยากไปก็ไป ไม่ขัดขวาง ขอให้โชคดี อะไรประมาณนี้ ฟังแล้วเหมือนกับว่า “พี่ป้อม” คนนี้มีแต่ให้

อย่าได้แปลกใจที่ “น้องตู่” เมื่อได้รับรู้เรื่องนี้ก็มีอารมณ์หงุดหงิดขึ้นมาทันที เพียงแต่เก็บอาการเอาไว้ให้มากที่สุด เพราะคงไม่อยากให้เกิดอาการกระเพื่อมไปมากกว่านี้ อีกทั้งหากในอนาคตยังอาจต้องเชื่อมถึงกันอีกหลังการเลือกตั้ง

ขณะที่ ฝ่าย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่าข้อความในจดหมายจะเขียนโดยใครก็ตาม แต่เมื่อ “บิ๊กป้อม” ยืนยันว่า “จริง” มันก็จบ และความหมายอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ ก็คือ นี่คือ การ “สลายขั้ว” สลายความสัมพันธ์ในแบบที่เคยแพ็กกันแน่นกับ “สอง ป.” ตามที่เคยย้ำว่า “ไม่มีความขัดแย้งกับใคร” มันก็สอดรับกับข่าว “ดีลลับ” ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง

รวมไปถึงการตอกย้ำในความหมายนี้จากคำพูดของ นายวิรัช รัตนเศรษฐ กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ที่ถือว่าเวลานี้เป็นแกนนำสำคัญข้างกาย มาย้ำว่า “ลุงป้อมเป็นโซ่ข้อกลาง” เชื่อมได้ทุกฝ่าย ความหมายสื่อไปถึงพรรคเพื่อไทย ที่เชื่อมไปถึง นายทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง

ดังนั้น แม้ว่าข้อความในจดหมาย บอกว่า “เปิดใจลุงป้อม” แต่เอาเข้าจริงเมื่อพิจารณาในความหมายแล้วนี่คือ การ “ตัดแยก” ออกจากกัน เพื่อให้ตัวเองเคลื่อนไหวได้อิสระกว่าเดิม อย่างน้อยก็ในบทบาท “โซ่ข้อกลาง” ที่เจตนาเชื่อมกับทุกขั้วเข้ากับทุกฝ่าย เทไปทางเพื่อไทยหวังสร้างจุดขาย “ตรึง” ส.ส.ไม่ให้ไหลออกด้วยหลักประกันเป็นรัฐบาล ซึ่งชั้นเชิงแบบนี้จะได้ผลหรือไม่ อีกไม่นานก็รู้ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น