xs
xsm
sm
md
lg

ความขัดแย้งโลกกับ“ประเทศไทย”ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


พลเอกJens Stoltenberg นักการเมืองชาวนอร์เวย์
เปิดฉากสัปดาห์ที่ผ่านมา...ด้วยการชวนไปมอง “ป่าทั้งป่า” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปิดฉากสัปดาห์นี้เลยคงต้องขออนุญาตลองมา “พลิกใบไม้ในแต่ละใบ” ดูว่าอะไรต่อมิอะไรมันไปถึงไหนกันมั่งแล้ว!!! โดยเริ่มกันที่ใบไม้ใน “แนวรบยุโรปตะวันออก” ว่าด้วยกรณีความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน หรือจะเรียกว่าความขัดแย้งระหว่าง “รัสเซียกับโลกตะวันตก” ก็คงไม่ถึงกับผิดแผกแตกต่างกันสักเท่าไหร่นัก อันถือเป็นแนวรบที่สำคัญเอามากๆ หรือถือเป็น “เงื่อนไข” และ “เหตุปัจจัย” ที่จะทำให้โลกทั้งโลกเจ๊ง-ไม่เจ๊ง พัง-ไม่พัง นับแต่ช่วงเริ่มต้นปีใหม่-ฟ้าใหม่ ปี พ.ศ. 2566 หรือค.ศ. 2023 ณ บัดนาว...

คือมุมมองที่อาจผิดแผกแตกต่างไปจากกันอยู่มั่ง...สำหรับแนวรบด้านนี้ ก็คือการประเมิน ประมาณสถานการณ์ นับแต่นี้ต่อไป ว่ามันจะค่อยๆ “ลดระดับ” ลงไป หรือจะ “ยกระดับ” เพิ่มขึ้นๆ จนกลายเป็นการ “เผชิญหน้าโดยตรง” ระหว่างรัสเซียกับโลกตะวันตก หรือกับคุณพ่ออเมริกาและนาโต ไม่ใช่แค่เฉพาะระหว่างรัสเซียกับพี่ๆ-น้องๆ ชาวสลาฟอย่างยูเครนอีกต่อไปอันมีแต่จะนำไปสู่ความ “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” หรือนำไปสู่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” จนแม้แต่ “สงครามนิวเคลียร์” เอาเลยก็เป็นได้!!! แต่โดยทัศนะ มุมมอง ของผู้รู้-ผู้เชี่ยวชาญบางราย เช่น อดีตผู้บัญชาการกองกำลังร่วมของนาโต นายพลชาวเยอรมัน “พลเอกHans-Lothar Domrose” ท่านกลับ “มองโลกแง่ดี” อยู่บ้างตามสมควร คือมองว่าความยืดเยื้อ คาราคาซังของสงคราม ที่ต่างฝ่ายต่างไม่สามารถเอาชนะซึ่งกันและกันได้แบบ “เบ็ดเสร็จ-เด็ดขาด” มีแต่ต้อง “คุมเชิง” กันต่อไปเรื่อยๆ เพราะแม้ว่าโอกาสที่น้องเล็กอย่างยูเครนจะเอาชนะพี่ใหญ่รัสเซียแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย แต่การหนุนหลัง หนุนช่วย “ตัวแทน” หรือ “ตัวตลก” โดยบรรดาโลกตะวันตกและคุณพ่ออเมริกา เพื่อกัดกร่อน ทำลายศักยภาพทั้งมวลของรัสเซียชนิดพร้อม “แลกเลือดหยดสุดท้าย” ของชาวยูเครนอย่างไม่คิดเสียดม-เสียดาย ไม่เวทนา สงสาร เพื่อนมนุษย์เอาเลยแม้แต่น้อย น่าจะทำให้หมีขาวรัสเซีย “กลืนไม่ลง” กลืนไม่เข้า-คายไม่ออก ต่อปัญหาความขัดแย้งดังกล่าวต่อไปอีกตราบนานเท่านาน...

และภายใต้สภาพเช่นนี้นี่เอง...ที่อดีตนายพลชาวเยอรมันท่านมองว่า นับแต่เดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงเดือนพฤษภาคมปีนี้หรือช่วงเริ่มต้นของฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึง ทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายรัสเซียและยูเครนหรือโลกตะวันตก น่าจะเกิดความรู้สึกคล้ายๆ กันว่า...การสู้รบใดๆ อาจไม่เป็นประโยชน์ต่อไปอีกแล้ว!!! แนวโน้มที่จะเกิด “การหยุดยิง” การหันมามองทางออก ทางไป ภายใน “โต๊ะเจรจา” น่าจะเพิ่มขึ้นๆ ไปตามลำดับ หรือถึงขั้นฟันธง-ฟันเฟิร์มไว้เลยว่า “อาจเกิดการสงบศึกภายในปี ค.ศ. 2023” แต่ก็นั่นแหละ...ภายใต้มุมมองดังกล่าว ออกจะขัดแย้งแตกต่างไปจากผู้มีบทบาท หน้าที่ ทางการทหารของนาโตในปัจจุบัน นั่นคือ “พลเอกJens Stoltenberg” ที่กลับมอง “โลกแห่งความเป็นจริง” ไว้ประมาณว่า...โดยอากัปกิริยา โดยลักษณะท่าที ของฝ่ายตรงข้ามอย่างรัสเซียนั้น ไม่ว่าจะเป็นการระดมกำลังทหารในกองทัพรัสเซียเพิ่มเติมตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว ไปจนการคิดจะงัดเอาจรวดซุปเปอร์โซนิคมาติดตั้งประจำการไว้แถวๆ พรมแดนเบลารุส เตรียมพร้อมที่จะถล่มระบบป้องกันภัยทางอากาศแพทริออต ของคุณพ่ออเมริกาให้ราพณาสูรกันไปข้าง ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรดังที่เคยกล่าวไปแล้ว ถือเป็นการ “ส่งสัญญาณ” ที่ค่อนข้างชัดเจน ว่าหมีขาวตัวนี้เตรียมเปิดฉากการโจมตีครั้งใหม่และครั้งใหญ่ต่อยูเครนภายในปีนี้ โดยไม่สนใจว่าจะต้อง “เผชิญหน้าโดยตรง” กับโลกตะวันตกหรือไม่? และอย่างไร? อีกต่อไปแล้ว!!!

นี่...อันนี้นี่แหละ ที่คงต้องคอยติดตาม คอยอัปเดตกันต่อไปเป็นระยะๆ เพราะการ “ลดระดับ” หรือ “ยกระดับ” ความขัดแย้งในกรณีดังกล่าว มันออกจะมีความสัมพันธ์และสัมพัทธ์กับความเป็นไปของโลกทั้งโลก อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ คือถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างมันเบาลงๆ ก็อาจพอมองหา “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” ได้มั่ง แต่ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างมันมีแต่จะแรงขึ้นๆ โอกาสที่มันจะส่งผลกระทบต่อโลกทั้งโลก ให้ต้องฉิบหาย-วายวอดตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงยิ่งเข้าไปทุกที เพราะอย่างที่กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) “นางคริสตาลินา จอร์เจียวา” หรือ “กอร์เกียวา” (Kristalina Georgieva) ก็แล้วแต่ ท่านออกมาแจ้งเตือน กล่าวเตือน ไว้ในรายการ “Face the Nation” ทางสถานีโทรทัศน์ “CBS” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (1 ม.ค. 2023) นั่นแหละว่า ด้วยเหตุเพราะเงื่อนไขและเหตุปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าเรื่องเงินเฟ้อ การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ครั้งใหม่ในเมืองจีน ความติดๆ-ขัดๆ ของธุรกิจห่วงโซ่อุปทาน ไปจนปัญหาความขัดแย้งในยูเครน ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็ตามที น่าจะทำให้ “เครื่องยนต์เศรษฐกิจ” ของโลกทั้งโลก เดินไม่เต็มสูบ ไม่เต็มสปีด ไม่ว่าจะเศรษฐกิจอเมริกา อียู ไปตลอดจนเศรษฐกิจจีน อันจะทำให้เศรษฐกิจของโลกทั้งโลกต้องก้าวเข้าสู่ “ภาวะถดถอย” (Recession) ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของระบบเศรษฐกิจโลกทั้งมวล หรือทำให้ภาวะเศรษฐกิจโลกในปีนี้ ก้าวขึ้นสู่บันไดเมรุ เพื่อรอการ “เผาจริง” ไม่ใช่แค่ “เผาหลอก” แบบครั้งที่แล้ว ปีที่แล้ว เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!

ด้วยเหตุนี้...ประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่กำลังตื่นตา-ตื่นใจ เนื้อเต้น-กระดูกเต้น ต่อการไหลบ่าของบรรดา “นักท่องเที่ยว” ชนิดสนามบินแทบแตกไปในแต่ละจุด แต่ละพื้นที่ ก็อย่าถึงกับเพ้อไปหลงระเริง ซู๊ดซี๊ดซู๊ดซ๊าด บิดไป-บิดมา มากมายเกินไปนัก มีแต่ต้องหันไปมองโลก เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหว ความเป็นไปของโลกกันให้ถนัดๆ หรือพึงต้องใคร่ครวญและพิจารณาเอาไว้ให้จงหนัก ว่าช่วงระยะเวลา ช่วงจังหวะสถานการณ์เช่นนี้ มันก็คือช่วงระยะผ่านหรือ “ช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่าน” นั่นแหละ ที่สามารถนำมาซึ่ง “ความเปลี่ยนแปลง” ในแต่ละรูป แต่ละแบบ ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ไปจนถึงวัฒนธรรม-ประเพณี ได้เสมอๆ การหมกมุ่น มัวเมาอยู่กับ “ความขัดแย้งภายใน” ประเภท “3 ลุง-3 ป.” หรือ “คุณพี่โทนี-โทนาฟ” ใครจะแลนด์สไลด์-ไม่แลนด์สไลด์ ใครจะอยู่ต่อ-ไม่อยู่ต่อ ฯลฯ แม้จะมีพื้นฐานมาจากความรักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์โดยแท้ หรือจากการ “IO” ใดๆ ก็แล้วแต่ ไปจนความโกรธ-เกลียด-เคียดแค้น อาฆาตริษยาและชิงชังต่อชาติบ้านเมืองของตัวเอง แต่ถ้าลองไม่คิดจะมองความเป็นไปของโลกเอาเสียเลย ย่อมต้องถือเป็นการมองแบบ “สายตาสั้น” ไปด้วยกันทั้งสิ้น!!!

เพราะอย่างที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละว่า...ความเปลี่ยนแปลงของโลกในช่วงระยะนี้ หรือช่วงระยะแห่งการเปลี่ยนผ่าน มันกำลังนำไปสู่ “การลอกคราบ” ครั้งใหญ่ ที่สามารถอุบัติขึ้นมาในแต่ละประเทศ แต่ละสังคม ตราบเท่าที่สังคมนั้นๆ ประเทศนั้นๆยังคงเต็มไปด้วย “เงื่อนไข” และ “เหตุปัจจัย” ยังเต็มไปด้วย “กองฟืนแห้งๆ” ที่ถูกวางสุมไว้ในทุกซอก ทุกมุม อันจะเป็นตัวเอื้ออำนวยต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มี “ข้อยกเว้น” ใดๆ ทั้งสิ้น พูดง่ายๆ ว่า...เพียงแค่มอง “ระบบราชการไทย” ที่ยังมิอาจปฏิรูป หรือไม่เคยคิดปฏิรูปใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย เพียงเท่านี้...ก็น่าที่จะพอเห็นเชื้อเพลิง หรือเชื้อไฟ ที่อาจ “ไหม้ลามทุ่ง” ขึ้นมาเมื่อไหร่ ตอนไหน ได้เสมอๆ อย่าเอาแค่มองแต่เพียงชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ของ “บิ๊กตู่-ไม่บิ๊กตู่” ซึ่งแทบไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ “การปฏิรูป” ดังกล่าวเอาเลยแม้แต่น้อย!!!

ด้วยเหตุนี้...สำหรับบรรดาผู้ที่รักชาติ-บ้านเมือง ผู้ที่ยึดมั่นต่อชาติ-ศาสน์-กษัตริย์โดยแท้ ไม่ใช่แค่เพราะถูก “IO” ไปตาม “มายาภาพ” ตามความขัดแย้งของฉากสถานการณ์ภายในแต่ละห้วง แต่ละระยะ คงต้องพยายามหันไปสำรวจตรวจสอบ หันไปใคร่ครวญพิจารณา ถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังอุบัติขึ้นมาต่อโลกทั้งโลกไว้ให้จงหนัก เหมือนอย่างที่อดีตนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ชาวอเมริกันเชื้อสายสเปน อย่าง “นายGeorge Santayana” ท่านเคยย้ำแล้ว-ย้ำอีกเอาไว้ในอดีตที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “A man’s feet must be planted in his country, but his eyes should survey the world.” หรือ “เท้าของคนควรปักอยู่ในประเทศเขา แต่ดวงตาควรสำรวจดูโลก” ให้ละเอียดและถี่ถ้วนเข้าไว้นั่นแหละดี ไม่งั้น...โอกาสที่จะหงายท้องตึง หลับกลางอากาศ ไปพร้อมๆ กับ “บิ๊กตู่” หรือพร้อมๆ กับ “ยุทธศาสตร์ 20 ปี” อาจเป็นไปได้ในวันใด-วันหนึ่ง เอาเลยก็ไม่แน่!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น