คลังแสงนิวเคลียร์ของรัสเซียและกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มอสโกวางเอาไว้สำหรับใช้อาวุธนิวเคลียร์ เป็นเพียงปัจจัยเดียวที่ขัดขวางตะวันตกจากการเริ่มสงครามกับรัสเซีย จากความเห็นของพันธมิตรใกล้ชิดรายหนึ่งของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ในบทความที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์ (25 ธ.ค.)
อดีตประธานาธิบดีดมิทรี เมดเวเดฟ ซึ่งเวลานี้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติของรัสเซีย ยังกล่าวด้วยว่ามอสโกจะเดินหน้าทำสงครามในยูเครน จนกว่า "ระบบปกปครองที่น่ารังเกียจ และแทบจะเป็นฟาสซิสต์" ในเคียฟถูกรื้อถอนและปลดอาวุธประเทศแห่งนี้โดยสิ้นเชิง
ในการให้สัมภาษณ์แยกกัน ที่ออกอากาศในวันอาทิตย์ (25 ธ.ค.) ปูติน กล่าวว่ารัสเซียพร้อมเจรจากับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในสงคราม แต่บอกว่าเคียฟ และพวกผู้สนับสนุนตะวันตก ปฏิเสธมีส่วนร่วมในการเจรจา
เมดเวเดฟ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่างปี 2008 ถึง 2012 เป็นหนึ่งในผู้มีแนวคิดสายเหยี่ยวที่สุดต่อสงครามที่เกิดขึ้น เขามักออกมาประณามตะวันตกเป็นประจำ พร้อมกล่าวหาว่าตะวันตกต้องการทำลายรัสเซียเป็นเสี่ยงๆ เพื่อผลประโยชน์ของยูเครน
"ตะวันตกพร้อมปลดปล่อยสงครามเต็มรูปแบบกับเรา รวมถึงสงครามนิวเคลียร์ด้วยน้ำมือของยูเครนหรือไม่?" เขาเขียนในบทความ 4,500 คำ ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ Rossiiskaya Gazeta "สิ่งเดียวที่หยุดยั้งศัตรูของเราในวันนี้ก็คือ การตระหนักว่ารัสเซียจะเดินตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ในด้านป้องปรามทางนิวเคลียร์ และในกรณีที่ภัยคุกคามแท้จริงเกิดขึ้น รัสเซียจะลงมือตามนโยบายดังกล่าว"
ปูติน และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ เน้นย้ำว่านโยบายด้านอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียกำหนดให้พวกเขาสามารถใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้ หากมีภัยคุกคามต่อบูรณภาพแห่งดินแดน และจากข้อมูลของพวกผู้เชี่ยวชาญ รัสเซียมีสต๊อกอาวุธนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมีหัวรบนิวเคลียร์เกือบๆ 6,000 หัวรบ
เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม ปูตินบอกว่าความเสี่ยงของสงครามนิวเคลียร์เพิ่มสูงขึ้น แต่ยืนยันรัสเซียจะไม่ทำบ้าๆ และมองคลังแสงนิวเคลียร์ของตนเองในฐานะเครื่องป้องปรามเพื่อการป้องกันตนเองเท่านั้น
"โลกตะวันตกกำลังอยู่ตรงกลางระหว่างความปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อการดูหมิ่น ราวี ฉีกทำลายรัสเซียเป็นชิ้นๆ มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กับอีกด้านหนึ่งคือความปรารถนาหลีกเลี่ยงวันสิ้นโลกจากนิวเคลียร์" เมดเวเดฟ กล่าว
เมดเวเดฟ กล่าวต่อว่า "หากรัสเซียไม่ได้รับคำรับประกันความมั่นคงตามที่เรียกร้อง โลกก็จะยังคงเดนโซเซบนขอบเหวของสงครามโลกครั้งที่ 3 และหายนะทางนิวเคลียร์ เราจะทำทุกอย่างเท่าที่สามารถทำได้เพื่อขัดขวางมัน"
อดีตประธานาธิบดีรายนี้มองด้วยว่า รัสเซียอาจต้องลืมความสัมพันธ์อันเป็นปกติกับตะวันตกต่อไปอีกหลายปี และบางทีอาจหลายทศวรรษ ดังนั้น จึงจะต้องหันไปมุ่งเน้นความสัมพันธ์กับดินแดนอื่นๆ ในโลกใบนี้แทน
(ที่มา : รอยเตอร์)