ผมเองเกิดมาไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าเกิด! และไม่ได้อยู่ร่วมหรือเกิดในกรุงกบิลพัสดุ์อย่างแน่นอน!
แต่ใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ข้อมูลทางมนุษยวิทยา ที่ได้ฟังจากในห้องเรียน กับพระธรรมศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) เก็บความมาเพื่อให้เกิดสติปัญญาแก่ลูกหลานคนรุ่นใหม่ที่อยากจะรู้ในวิชาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา
ผมเองไม่มีคำถามเลยเกี่ยวกับพระปัญญาคุณพระกรุณาคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า บทความนี้ต้องการสื่อสารบอกเล่าว่า พระพุทธเจ้าเป็นมหาบุรุษเป็นมนุษย์ มิใช่เทพเจ้า!
พระพุทธเจ้าถือกำเนิดมาในบริบทสังคมเนปาลยุคนั้นนับถือลัทธิพราหมณ์ แม้แต่ครอบครัวของพระเจ้าสุทโธทนะในกรุงกบิลพัสด์ หลังจากที่"สิทธัตถะ"เกิดได้เพียงแค่ห้าวัน แม่คงป่วยติดเชื้อจากการผ่าทำคลอดในสวนในป่า เป็นสมมุติฐานที่ผมเห็นจากภาพหินยุคคันธารราฐ ซึ่งสร้างขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน เพียง 200-300 ปี จึงเป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่ใกล้สมัยพระพุทธเจ้ามากที่สุด
พ่อคือพระเจ้าสุทโธทนะ ได้เชิญพราหมณ์จำนวนมากที่เป็นผู้เชี่ยวชาญไตรเพทประเวทมาทำนาย เด็กน้อยนามว่า "สิทธัตถะ"
ในเรื่องนี้เราจะเห็นว่า ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ บริบทสังคมครั้งนั้นการเคารพเทพเจ้าต่างๆ มีอย่างเต็มเปี่ยมทั่วแคว้นกว้างใหญ่ในอินเดียและเนปาล
คำถามว่า? แล้วทำไมผู้หญิงต้องไปคลอดบ้านแม่
บ้านแม่ของนางสิริมหามายาคือที่ๆ อบอุ่น เธออุ้มท้องเธอมาบ้านแม่ คือลูกสาวของแม่ เมื่อเธอกลับมาบ้านของแม่เธอคือลูกสาว การดูแลความอบอุ่นเมตตาที่ไกลเกิน Taboo เป็นที่อบอุ่นที่สุดที่จะคลอดลูกที่คลอดยากให้ปลอดภัย (แม้แต่ทุกวันนี้ร่องรอยของTaboo ยังมีอยู่ในชนบทห่างไกลในเนปาลและอินเดีย หญิงสาวที่เริ่มมีประจำเดือน ครอบครัวให้ออกจากบ้านไปอยู่นอกบ้าน)
การคลอดเป็นนาทีสำคัญแห่งชีวิตที่ก่อกำเนิด แล้วทำไมคลอดในรั้ววังใหญ่ของพระเจ้าสุทโธทนะไม่ได้หล่ะ?
หากเป็นยุคสมัยเราก็จะคลอดที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ หรือโรงพยาบาลศิริราช ในสังคมพราหมณ์ ถือว่า "ประจำเดือน น้ำคร่ำ ไหลผ่านฐานโยนีเป็นของต่ำ" เป็น Taboo คือของต้องห้ามมิให้แปดเปื้อน จะทำให้เกิดความเสื่อมลบล้างความเชื่อที่ยึดถือของพราหมณ์
แน่นอนว่าศาสนาพุทธเกิดขึ้นมาหลังพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จึงเป็นศาสนาที่สมบรูณ์ด้วยเหตุผลปฏิเสธการบวงสรวงเทพเจ้าและการบูชายัญที่ครอบคลุมบริบทสังคมของผู้ไม่รู้ผู้บางเบาแห่งปัญญา!
*หมายเหตุ..กราบนมัสการขอบพระคุณพระธรรมศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ที่ตั้งประเด็นให้ร่วมคิดทางปัญญา..ตอนที่ 2
**ข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Mee Nabon