ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตไปสำรวจ-ตรวจสอบ ไปหยั่งอารมณ์-ความรู้สึก ของใครต่อใครที่หนีไม่พ้นต้องหาทาง “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” บนโลกใบนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น ไม่ว่าจะมีความผิดแผกแตกต่าง ทางความคิด-การกระทำ ไม่ว่าจะหนักไปทาง “ลุงศักดิ์ นักตบ” ฮีโร่ของพวกประชาธิปไตยเสื้อแดงของบ้านเรา หรือหนักไปทางประเภท “เค ร้อยล้าน” นักล็อกคอที่สติสตังค์อาจไม่สมประกอบอยู่มั่ง ซึ่งไม่ว่าจะใช้ “มือ” หรือ “ตีน” เป็น “ทางออก” แต่ย่อมถือเป็น “ความรุนแรง” อันมิควรยึดถือเป็นแบบอย่าง ตัวอย่างใดๆ ด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง นั่นแล...
โดยเฉพาะ “ความรุนแรง” อันเนื่องมาจากวิกฤตความขัดแย้งระดับโลก อย่างกรณี “รัสเซีย-ยูเครน” ที่กำลังสร้างความปั่นป่วนทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร หวิดๆ จะยกระดับไปสู่ “สงครามนิวเคลียร์” ยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ก็ระดับน้องๆนิวเคลียร์ หรือระดับ “Dirty Bomb” ที่กำลังถูกหยิบยกมาเป็นข้อกล่าวหาซึ่งกันและกัน ว่ากำลังเกิดการ “จัดฉาก” หรือกำลังเป็นจริง-เป็นจัง โดยฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหนก็ตามที แต่ย่อมนำมาซึ่งความน่าทุเรศเวทนา ไม่ต่างไปจากกรณี “ลุงศักดิ์” หรือกรณี “เค ร้อยล้าน” ไปด้วยกันทั้งนั้น!!!
และอาจด้วยเหตุทำนองนี้นี่เอง...ที่ทำให้ประธานกลุ่ม ส.ส.หัวก้าวหน้าแห่งพรรคเดโมแครต หรือพรรครัฐบาลอเมริกัน (Congressional Progressive Caucus Chair) ณ ช่วงขณะนี้ อย่าง “นางPramila Jayapal” รวมทั้งบรรดา ส.ส.พรรคเดียวกันจำนวนถึง 30 ราย อดไม่ได้ที่ต้องส่ง “จดหมายน้อย” ไปถึงผู้นำประเทศ ถึงประธานาธิบดี “โจ ซึมเซา” เรียกร้องให้หาทางยุติความรุนแรง โดยอาศัยช่องทางทางการทูต อาศัยการหวนกลับไปสู่ “โต๊ะเจรจา” เป็นทางออก ทางไป ในการยุติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ถึงขั้นแม้ต้องเปิดฉาก “เจรจาโดยตรง” ระหว่างรัสเซียกับอเมริกาก็ตามที ก่อนประเทศยูเครนจะถูกล้างผลาญ ทำลาย เกินไปกว่านี้ ก่อนที่ภัยคุกคามจากสงครามนิวเคลียร์จะก่อรูป ก่อร่างขึ้นมาโดยชัดเจน และก่อนที่ความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจจะส่งผลให้ยุโรปทั้งยุโรป หรือแม้แต่โลกทั้งโลก ต้องฉิบหายวายวอด อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น ฯลฯ...
ข้อเรียกร้องของ 30 ส.ส.แห่งสภาคองเกรสอเมริกันที่ว่านี้ จึงเป็นอะไรที่ออกจะมี “น้ำหนัก” มิใช่น้อย ไม่เพียงแต่โดยเหตุผลข้ออ้าง ที่แสดงให้เห็นถึงความตระหนัก สำนึกต่อ “ความรับผิดชอบ” ของรัฐบาลอเมริกัน ที่เข้าไปมีส่วนยุแยงตะแคงรั่ว ไปส่งเงิน-ส่งทอง บริจาคเงิน-ทองสนับสนุนความรุนแรง นับเป็นพันๆ หมื่นๆ ล้านดอลลาร์ มากซะยิ่งกว่าพวกที่บริจาคเงินให้ “ลุงศักดิ์” บ้านเราไม่รู้กี่ต่อกี่ล้านเท่า แต่โดยความเป็น ส.ส.พรรครัฐบาล แถมยังเป็น “กลุ่มหัวก้าวหน้า” ที่ค่อนข้างมีบทบาทเอามากๆ ในพรรคเดโมแครตมาโดยตลอด ไม่ว่าในเรื่องสวัสดิการสังคม การศึกษา ฯลฯ เสียงเรียกร้องเช่นนี้...ยังออกจะสอดคล้องกับบรรดานักการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม อย่างบรรดา ส.ส.พรรครีพับลิกันที่อาจกลายเป็น “เสียงข้างมาก” ในรัฐสภาอเมริกันหลังการ “เลือกตั้งกลางเทอม” ที่ออกมาพูดจาว่ากล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ว่าการควักเงิน-ควักทอง ควักภาษีชาวอเมริกัน ไปสนับสนุนรัฐบาลยูเครนให้เตะตัดขา “พี่ศรี” ...(ประทานโทษ) ให้ตบ หรือให้ล็อกคอหมีขาวรัสเซีย คราวละเป็นหมื่นๆ ล้านดอลลาร์ อาจเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะบรรดาอเมริกันชนทั้งหลายชักเริ่มไม่อยาก “เซ็นเช็คเปล่า” ให้กับรัฐบาลยูเครนขึ้นมามั่งแล้ว...
โดย “อารมณ์-ความรู้สึก” ของทั้ง ส.ส.ฝ่ายก้าวหน้าแห่งเดโมแครต และ ส.ส.ฝ่ายเสียงข้างน้อยแห่งพรรครีพับลิกัน ที่ออกจะสอดคล้องต้องกันเช่นนี้ แม้จะไม่ได้ทำให้รัฐบาลอเมริกันของผู้เฒ่า “โจ ซึมเซา” รู้สึก-รู้สาอะไรมาก หรือยังทำให้เลขานุการฝ่ายสื่อมวลชนทำเนียบขาว รวมทั้งโฆษกสภาความมั่นคง “นางKarine Jean-Pierre” และ “นายJohn Kirby” ยังออกมาบ่ายเบี่ยง เอาสีข้างเข้าถูไปตามมี-ตามเกิด หันมา “โบ้ย” ไปในทำนองว่า... “เราจะไม่เจรจากับผู้นำรัสเซียโดยปราศจากตัวแทนรัฐบาลยูเครนเป็นอันขาด เพราะผู้นำอย่างนายเซเลนสกี้ประธานาธิบดียูเครน คือผู้ที่ตัดสินใจโดยแท้จริงต่ออนาคตของประเทศของเขา ว่าเมื่อไหร่-ตอนไหน ที่สมควรหรือถึงเวลาเจรจา” ทั้งๆ ที่รู้ทั้งรู้...ว่าเหตุที่ฝ่ายยูเครนต้อง “ล้มโต๊ะเจรจา” โดยหันมากำหนด “เงื่อนไข” ว่าจนกว่าผู้นำรัสเซียประธานาธิบดี “ปูติน” จะพ้นไปจากอำนาจ หรือจนกว่ายูเครนจะยึดดินแดน 4 เขต 4 แคว้น รวมทั้งดินแดนไครเมียกลับคืนจากรัสเซียให้ได้เสียก่อน หรือจนกว่า “น้ำจะท่วมหลังเป็ด” อะไรทำนองนั้น ก็เนื่องมาจากการยุแยงตะแคงรั่วของรัฐบาลอเมริกันและอังกฤษ หรือของ “รัฐบาลแองโกล-แซกซอน” ที่หวังจะธำรงรักษา ความเป็น “ประมุขโลก” ให้ดำเนินสืบเนื่องต่อไปอีกตราบนานเท่านาน...นั่นเอง!!!
แต่ความพยายามฝืนความจริง ฝืนข้อเท็จจริง ภายใต้ความเป็นไปของโลกที่นับวันจะเต็มไปด้วยขั้วอำนาจที่หลากหลายยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ได้เหลืออยู่เพียงขั้วอำนาจเดียวอีกต่อไปแล้ว เรียกว่า...แม้แต่อภิมหาเศรษฐีน้ำมันที่เคยเป็นพันธมิตรเคียงบ่า-เคียงไหล่ เคยประคับประคองเงิน “เปโตรดอลลาร์” ให้ชาวอเมริกันมากว่า 2 ทศวรรษ ยังเปลี่ยนใจหันไปสมัครสมาชิกกลุ่มประเทศ “BRICS” ที่มีรัสเซีย-จีน-อินเดีย-บราซิล แอฟริกาใต้เป็นหัวหอกกันแทนที่ บรรดาอารมณ์-ความรู้สึกของผู้ที่ไม่อยากเห็นการหาทางออก-ทางไป ด้วยวิถีความรุนแรง จึงย่อมไม่ได้มีอยู่แต่แค่นักการเมืองอเมริกัน ไม่ว่าพวกหัวก้าวหน้าแห่งพรรคเดโมแครต หรือฝ่ายค้านแห่งพรรครีพับลิกันแต่เพียงเท่านั้น...
เพราะแม้แต่ผู้นำฝรั่งเศส อย่างประธานาธิบดี “เอ็มมานูเอล มาครง” ที่มีโอกาสเข้าเยี่ยมประมุขจิตวิญญาณแห่งศาสนจักรคาทอลิก พระสันตะปาปา “ฟรานซิส” เมื่อช่วงวันจันทร์ (24 ต.ค.) ที่ผ่านมา ยังอดไม่ได้ที่จะออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ถึงความพยายามกระตุ้นให้ผู้นำศาสนาคริสต์รายนี้ หาทางเชื้อเชิญผู้นำอเมริกันและผู้นำรัสเซีย มานั่ง “โต๊ะเจรจา” เพื่อหาทางออก ทางไปโดยสันติ ต่อกรณีวิกฤตยูเครนให้จงได้ เพราะวิธีแบบ “ลุงศักดิ์” หรือแบบ “เค ร้อยล้าน” ก็แล้วแต่ ล้วนมีแต่จะนำมาซึ่งความ “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” ให้กับโลกทั้งโลก ไม่ใช่แต่เฉพาะบรรดาประเทศยุโรป หรืออเมริกา ที่ต่างต้องเจอกับภาวะเงินเฟ้อ เศรษฐกิจถดถอย ชนิดหาทางออก-ทางไปแทบไม่ได้ จนตราบเท่าทุกวันนี้...
พูดง่ายๆ ว่า...ปัญหาเร่งด่วนของโลกทั้งโลกทุกวันนี้ ก็คือ “ปัญหาเศรษฐกิจ” นั่นแหละทั่น!!! ถึงขั้น “ศาสตราจารย์วันสิ้นโลก” (Doctor Doom) อย่างศาสตราจารย์ “Nouriel Roubini” ผู้เคยทำนายทายทัก ถึงวิกฤตการเงินปี ค.ศ. 2008-19 แบบชนิดแม่นยำราวตาเห็น ต้องออกมาคาดคะเนถึงภาวะเศรษฐกิจอีกไม่นานนับจากนี้ ว่าอาจหนักหนาสาหัส ยิ่งกว่าวิกฤตปี ค.ศ. 1970 และ 2008 รวมกันเมื่อช่วงไม่กี่วันมานี้ ไม่ใช่การเตะ การถีบ การโดดล็อกคอผู้หนึ่ง-ผู้ใดเอาเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ “เศรษฐกิจอเมริกา” ทุกวันนี้ก็เถอะ บรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ไม่รู้กี่รายต่อกี่ราย ต่างออกมาพูดจาภาษาเดียวกัน ถึงโอกาสที่แทบเป็นไปไม่ได้ ในการกระชากอัตราเงินเฟ้อให้กลับมาอยู่ระดับ 2 เปอร์เซ็นต์ หรือระดับปกติเหมือนเก่า แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ “เฟด” พยายามขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย พยายาม “ตาบอดคลำช้าง” กันในรูปไหนก็ตามที แต่โอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไปจนเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าสู่ภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย” ยิ่งกลายเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ยิ่งเข้าไปทุกที...
ยิ่ง “เศรษฐกิจยุโรป” ยิ่งแทบไม่ต้องพูดถึง ขนาดประเทศอดีตจักรวรรดินิยมที่เคยได้ชื่อ ฉายาว่า “จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” อย่างผู้ดีอังกฤษทุกวันนี้ แนวโน้มที่อาจต้องกลายสภาพไม่ต่างไปจาก “ประเทศกำลังพัฒนา” ต้องโซเซ ซมซาน ต้องหันไปพึ่งพาเงินกู้จาก “IMF” ดังที่อภิมหานักการเงิน นักลงทุนระดับโลก แถมยังเป็นผู้สนับสนุนพรรครัฐบาลอังกฤษ พรรคคอนเซอร์เวทีฟตัวยงอีกด้วยต่างหาก อย่าง “นายGuy Hands” ผู้ร่วมก่อตั้งบรรษัท “Terra Firma Capital Partners” ออกมาเตือนสติไว้เมื่อวัน-สองวัน ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ แม้เพิ่งได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่เชื้อสายอินตะระเดีย อย่าง “นายริชี ซูนัค” (Rishi Sunak) ขึ้นมาเป็นผู้นำก็ตามที เพราะการต้องเจอกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งทะลุเพดานไปถึง 10.1 เปอร์เซ็นต์ เจอกับค่าเงินปอนด์ที่ตกต่ำระดับเทียบเคียงพอๆ กับเงินดอลลาร์ เจอกับการคาดคะเนของ “OECD” ถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปีหน้าว่าไม่น่าจะเกิน 0 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้ ต่อให้เป็นฤาษีชีไพร หรือต่อให้มีปาฏิหาริย์ใดๆ ก็เถอะ ยังไงๆ...ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อยู่แล้วแน่ๆ!!!
หรือสรุปง่ายๆ ว่า...โดยกระแสอารมณ์-ความรู้สึกของผู้คนแทบจะทั่วทั้งโลกในทุกวันนี้ ดูจะ “ไม่เห็นควรด้วย” กับการหาทางออก-ทางไป โดยวิถีแห่งความรุนแรงไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง ไม่ว่าจะในแนวรบยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง ในแนวรบทะเลจีนใต้ หรือในแนวรบของ “ลุงศักดิ์” และ “เค ร้อยล้าน” ในบ้านเราก็แล้วแต่ ที่ล้วนแล้วแต่จะนำมาซึ่ง “ความด้วน” ไปด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหากผู้นำอเมริกาและพันธมิตรยุโรป ยังคงดื้อดึง ยังพยายามฝืนกระแส ฝืนข้อเท็จจริง โอกาสต้องโดดเดี่ยว โฮม อโลน ต้องปอกกล้วยเปลี่ยวในบ้านร้างตามลำพัง ยิ่งต้องมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...