ในสมัยพุทธกาลหรือประมาณ 2,500 กว่าปีมาแล้ว สิ่งที่เสพติดแล้วให้โทษแก่ผู้เสพมีเพียง 2 ชนิดคือ
1. สุรา อันได้แก่น้ำเมา ซึ่งได้มาจากการนำน้ำหมักไปต้มกลั่น
2. เมรัย อันได้แก่น้ำมา ซึ่งได้มาจากการนำสิ่งมีรสหวานมาหมักดอง
น้ำเมาทั้งสองชนิดนี้เป็นสิ่งต้องห้ามตามศีลข้อ 5 และคำสอนเกี่ยวกับโทษของการดื่มน้ำ 2 ชนิดนี้ ซึ่งปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 22 ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย ว่า “บุรุษผู้นี้ ประกอบเนืองๆ ซึ่งที่ตั้งแห่งความประมาทคือ (การดื่ม) น้ำเมาคือ สุราและเมรัย จึงฆ่าหญิงบ้าง ชายบ้าง จึงถือเอาของที่เขาไม่ให้บ้างจากบ้านบ้าง จากป่าบ้าง ด้วยอาการแห่งขโมย จึงก้าวล่วงในกิริยาของผู้อื่น ในบุตรีของผู้อื่น จึงหักรานประโยชน์ของคฤหบดีบ้าง บุตรของคฤหบดีบ้าง ด้วยการพูดปด เขาจึงถูกพระราชาจับฆ่าหรือจองจำเนรเทศหรือลงโทษอื่นตามสมควรแก่เหตุ”
จากคำสอนข้างต้น จะเห็นได้ว่าผู้ที่ผิดศีลข้อ 5 คือการละเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย จะผิดศีล 4 ข้อที่เหลือได้โดยง่าย เนื่องจากขาดสติ
ในปัจจุบันสิ่งเสพติดให้โทษได้เกิดขึ้นมากมายหลายชนิด และบางชนิดให้โทษร้ายแรงแก่ผู้เสพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาบ้า
ถึงแม้ว่าสิ่งเสพติดให้โทษที่เกิดขึ้นทีหลังมิได้ปรากฏเป็นข้อห้ามตามหลักคำสอนของพุทธ แต่ให้โทษแก่ผู้เสพเฉกเช่นสุราและเมรัย ก็อนุโลมเข้ากับสุราและเมรัยตามหลักแห่งมหาประเทศ 4 ข้อที่ 1 ว่า สิ่งใดที่มิทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากับสิ่งที่ไม่ควรขัดกับสิ่งที่ควรสิ่งนั้นไม่ควร
โดยนัยแห่งมหาประเทศ 4 ข้อที่ 1 สิ่งเสพติดให้โทษที่เกิดภายหลังทุกชนิดเป็นสิ่งต้องห้ามตามหลักคำสอนของศาสนาพุทธทั้งสิ้น และโดยปกติสิ่งที่คำสอนของศาสนาห้ามไว้ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ในกรณีของสิ่งเสพติดให้โทษมีทั้งที่ถูกกฎหมายเช่น เหล้า เป็นต้น และผิดกฎหมายเช่น ยาบ้า เป็นต้น
ไม่ว่าสิ่งเสพติดให้โทษจะถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย ถ้าเป็นสิ่งต้องห้ามตามคำสอนศาสนาโดยเฉพาะศาสนาพุทธแล้วไม่ให้โทษไม่มี ทั้งนี้จะเห็นได้จากสุราซึ่งถูกกฎหมายให้ผลิต และให้เสพได้ โทษจากการดื่มสุราทำให้คนไทยตายปีละไม่ใช่น้อย ทั้งจากการดื่มแล้วขับเกิดอุบัติเหตุรถชนตาย และเป็นโรคตายเพราะพิษสุราก็ไม่ใช่น้อย
ส่วนสิ่งเสพติดให้โทษที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะยาบ้าไม่ต้องบอกว่าให้โทษร้ายแรงขนาดไหน เพียงแต่ท่านติดตามข่าวสังคมก็จะรู้ว่าคนบ้าคลั่งทำร้ายครอบครัวถึงขั้นฆ่าพ่อ แม่ และเพื่อนบ้าน ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดจากการเสพยาบ้าทั้งสิ้น และข่าวลักษณะนี้เกิดขึ้นแทบทุกวัน และที่เป็นเช่นนี้อนุมานได้ว่าเป็นเพราะเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. คนไทยในยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำเฉกเช่นทุกวันนี้เกิดความเครียดจากการว่างงาน รายได้ไม่พอใช้จึงหันเข้าหาสิ่งเสพติด โดยเริ่มจากเป็นผู้เสพเพื่อหนีปัญหาให้คลายความเครียด และครั้นตกเป็นทาสยาเสพติดก็กลายเป็นผู้ขายรายย่อย เพื่อหาเงินมาซื้อยาหรือได้กำไรเป็นยาเสพติด
2. ยาเสพติดในประเทศไทยขณะนี้ หาซื้อได้ง่ายพอๆ กับขนมขบเคี้ยว จึงทำให้ผู้เสพเข้าถึงยาได้ง่าย
3. การปราบปรามยาเสพติด ถ้าดูจากจำนวนที่ตำรวจจับได้แล้วได้ผลอย่างจริงจัง และทำให้จำนวนผู้ขายลดลง และราคาขายจะต้องแพงขึ้น
แต่ในความเป็นจริง จำนวนผู้ขายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ขายรายย่อยซึ่งเป็นทั้งผู้เสพและผู้ขาย ซึ่งสวนทางกับความเป็นจริงหรือว่าของกลางส่วนหนึ่งได้เล็ดลอดออกมาสู่ตลาด ด้วยเหตุนี้ทางด้านตำรวจจึงน่าจะหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาทำการสอบสวน สืบสวนดูก็จะดี
อีกประการหนึ่ง การปราบปรามยาเสพติดโดยการประกาศต่อสู้ในเชิงรุกด้วยการเอาจริงอาจได้ผลบ้างในระยะแรกๆ แต่เมื่อนานเข้ากลไกการทำงานของเจ้าหน้าที่ย่อหย่อนปัญหาก็จะกลับมาเหมือนเดิม
ทางที่ดีและน่าจะได้ผลอย่างยั่งยืนก็คือ การป้องกันมิให้คนติดยาเพิ่มขึ้น โดยการเข้าถึงเหตุแห่งปัญหาคือ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาสังคมในกลุ่มเปราะบาง อันได้แก่วัยรุ่นในชุมชนแออัด โดยเฉพาะครอบครัวที่มีปัญหาโดยการฝึกอาชีพและหางานให้ทำ พร้อมกับอบรมทางด้านจิตใจ โดยอาศัยผู้นำทางศาสนา และในขณะเดียวกันก็ทำการปราบปรามผู้ผลิต และผู้ขายอย่างจริงจังด้วย ถ้าทำได้เชื่อว่าจะทำให้ผู้ติดยาลดลง เมื่อไม่มีผู้เสพ ผู้ขายก็เลิกไปเอง