ความหวังที่จะเห็นการยุติสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ทั้งมีข้อตกลงเรื่องสันติภาพนั้น ยังคงห่างไกลมากกว่าเดิม ทั้งสองฝ่ายยังมองไม่เห็นความจำเป็นที่จะเลิกรบกัน ต่างมีวาระแห่งผลประโยชน์ต่างกัน บนความสูญเสียมหาศาล
ฝ่ายยูเครนซึ่งมีอดีตดาวตลกเป็นผู้นำประเทศยังคงยืนกรานที่จะสู้รบขับไล่กองทัพรัสเซียให้พ้นจากประเทศ โดยกองทัพยูเครนจะสามารถช่วงชิงพื้นที่คืนมาทุกตารางนิ้วจากการยึดครองของกองทัพรัสเซีย โดยพึ่งความช่วยเหลือจากมิตรประเทศ
นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะรัสเซียครอบครองดินแดนของยูเครนได้มากกว่า 20% และทั้งสองฝ่ายได้สูญเสียกองกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ มากมาย รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม ประชาชนยูเครนกว่า 11 ล้านคนต้องพลัดพรากถิ่นที่อยู่
นอกจากนั้นยังมีผลกระทบอย่างแรงต่อสภาวะเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนนอกจากของยูเครนและรัสเซียแล้ว ยังเป็นวิกฤตเกือบทั้งโลกโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหัวโจกในความพยายามจะเล่นงานรัสเซีย
ฝ่ายรัสเซียนั้นก็แสดงเจตนาว่าจะต้องสั่งให้กองทัพรุกคืบหน้าชิงพื้นที่ของยูเครนต่อไป เพราะอาวุธทันสมัยที่ได้รับจากสหรัฐฯ นั้นมีผลกระทบต่อฝ่ายรัสเซียซึ่งที่ตั้งของคลังอาวุธรวมถึงเสบียงต่างๆ ถูกจรวดหลายลำกล้องแบบ Himars โจมตีอย่างได้ผลสร้างความเสียหายได้ไม่น้อย
รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ ประกาศว่ามีความจำเป็นที่กองทัพรัสเซียจะต้องขยายพื้นที่การยึดครองเพื่อผลักดันกองทัพยูเครนให้ถอยร่นเข้าไปด้านใน และห่างจากวิถีการยิงที่ได้ผลของอาวุธทันสมัยจากสหรัฐฯ
นั่นหมายความว่าจะมีการสู้รบเพิ่มขึ้นสร้างความเสียหายต่อบ้านเมืองและการบาดเจ็บล้มตายของกองทัพทั้งสองฝ่าย รวมทั้งประชาชนที่อยู่ในเส้นทางของกระสุนที่สาดใส่กัน ยูเครนพินาศไปหลายเมือง เช่นเดียวกับแคว้นดอนบาสที่รัสเซียยึดไว้ได้
ผู้นำยูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ก็สั่งทหารให้บุกรุกเข้าไปในพื้นที่รัสเซียครอบครองอยู่เพื่อยึดคืนจุดยุทธศาสตร์สำคัญเช่นเมืองเคอร์ซอน ใกล้เมืองท่ามาริอูโปล และแสดงความมั่นใจว่าอาวุธจรวดหลายลำกล้อง Himars นั้นจะช่วยให้ประสบความสำเร็จในปฏิบัติการตีโต้กองทัพรัสเซีย
รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียเซอร์เก ชอยกู ได้ออกคำสั่งให้ทหารรัสเซียปฏิบัติการเล็งยิงเป้าหมายสำคัญคืออาวุธ Himars ของสหรัฐฯ ที่ส่งมาให้ยูเครนมากถึง 16 ชุด และ 4 ชุดได้ถูกทำลายไปแล้วสัปดาห์ก่อนตามคำอ้างของฝ่ายโฆษกกระทรวงกลาโหมของรัสเซีย
ดังนั้นการต่อสู้จากนี้ไปจะเป็นการใช้จรวดนำวิถีชนิดแม่นยำเรดาร์นำทางต่อสู้กันระหว่างกองทัพยูเครนและรัสเซีย ซึ่งจากการประเมินของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ก็มองว่ารัสเซียมีแสนยานุภาพในการยิงเหนือกว่ากองทัพยูเครนมากถึง 35 เท่า และไม่มีทางใดที่ยูเครนจะเอาชนะในสงครามนี้ได้
เห็นได้ชัดว่าฝ่ายยุโรปสมาชิกนาโตนั้นออกอาการอิดออด ไม่อยากส่งอาวุธเข้าไปช่วยยูเครนเพราะเกรงว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ในสต๊อกจะไม่มีมากพอเพราะยังไม่มีการผลิตเพื่อชดเชยอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่มีปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ ซึ่งเคยนำเข้าจากรัสเซีย
สถานการณ์โดยรวมยังไม่ดีขึ้นล่าสุดรัสเซียประกาศรายชื่ออีก 5 ประเทศซึ่งแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรนั่นคือ กรีซ เดนมาร์ก สโลวีเนีย โครเอเชีย และสโลวะเกีย
รัสเซียถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจโดยกลุ่มประเทศนาโตและประชาคมยุโรป รวมทั้งพันธมิตรของสหรัฐฯ เช่นเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ แต่ปรากฏว่าประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักก็คือพันธมิตรของสหรัฐฯ ทั้งหมดนั่นเอง
ประเทศเหล่านั้นมีปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูงการขาดแคลนพลังงาน ค่าครองชีพสูงปัญหาการว่างงาน และประชาชนต้องลดค่าใช้จ่ายอย่างมากถึงขั้นอดมื้อกินมื้อ โดยเฉพาะในอังกฤษและเยอรมนี อาบน้ำอุ่นน้อยลง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อเตรียมไว้สำหรับค่าพลังงานที่จะต้องสูงขึ้นในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง
บางประเทศในยุโรปออกอาการไม่เห็นด้วยกับการคว่ำบาตร ฮังการีประกาศว่าจะไม่เข้าร่วมช่วยเหลือด้านอาวุธแก่ยูเครนและยังสั่งซื้อก๊าซเพิ่มเผื่อไว้ฤดูหนาว
สหรัฐฯ นำโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนอยู่ในสภาพย่ำแย่เพราะวิกฤตเศรษฐกิจเหมือนกับในยุโรป และผู้นำทำเนียบขาวมีปัญหาความนิยมตกต่ำอย่างมากและมีเสียงจากพรรคเดโมแครตแนะนำว่าโจ ไบเดนไม่ควรลงเลือกตั้งอีกหนึ่งสมัย เพราะมีปัญหาด้านสุขภาพโดยเฉพาะการรับรู้
ผู้นำทำเนียบขาวประสบความล้มเหลวในการเดินทางเยือนตะวันออกกลาง ไม่สามารถชักชวนผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่เช่นซาอุฯ ในการเพิ่มการผลิตเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากราคาสูงในยุโรป บารมีของโจ ไบเดนเสื่อมถอยในสายตาของพันธมิตร
แต่โจ ไบเดนยังเป็นตัวกำหนดว่าสงครามจะหยุดเมื่อไหร่ เพราะยุโรปเป็นเพียงตัวช่วยโดยมียูเครนเป็นเบี้ยในการทำศึกกับรัสเซีย โดยยอมรับสภาพการเป็นสมรภูมิโดยไม่รู้ว่าเมื่อสงครามสงบแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาบูรณะประเทศที่ยังเหลืออยู่
วันนั้น ผู้นำตัวตลกของยูเครนจะอยู่ตรงจุดไหนบนเวทีโลกเมื่อยูเครนย่อยยับ