สงครามน้อยใหญ่-ทำให้ “มนุษย์” มหาศาล บ้างลิขิตชีวิตได้ บ้างไม่ได้...!?
ผีประธานสภาฯ-หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติ ได้เกิดระบอบการปกครองแบบใหม่ คือระบอบ “คอมมิวนิสต์” ในกลุ่มรัฐที่สถาปนาขึ้นใหม่ ชื่อ “สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “โซเวียตรัสเซีย” และมีเรื่องราวต่างๆ ตามมาอีกมหาศาล
ผีนักวิชาการ-เอ้อ...เพื่อสมาชิกทุกท่านจะเข้าใจเรื่องราวและรายละเอียดมากขึ้น ผมขอแนะนำให้ศึกษาเอกสารเรื่องก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ให้ถี่ถ้วนนะครับ...
ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ชาติต่างๆ ทั่วยุโรปแตกเป็น 2 ฝ่าย ก่อนจะยกทัพเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด ผู้คนบาดเจ็บล้มตายสูญหายมากมาย
หลังสงครามที่เข่นฆ่ากันนานกว่า 4 ปี...การสงบศึกสงครามโลกครั้งแรกนั้น ชาติต่างๆ ใน “ฝ่ายมหาอำนาจกลาง” ที่พ่ายแพ้ จำต้องยอมทำ “สัญญาสงบศึก” ที่เสียเปรียบมากมาย ให้แก่ “ฝ่ายสัมพันธมิตร” โดย “อังกฤษ” กับ “ฝรั่งเศส” โกยผลประโยชน์ไปแบบเต็มๆ ขณะที่ “อิตาลี” ไม่ “HAPPY” ที่ได้ผลประโยชน์น้อย
ความเสียเปรียบมากมายของผู้แพ้สงคราม กับผลประโยชน์ที่ไม่เท่าเทียมในหมู่ผู้ชนะสงคราม เป็น “ต้นเหตุปัญหาโลก” และเป็น “ข้ออ้าง” ก่อให้เกิด “สงครามโลกใหญ่” ตามมา
ผมขอสรุปคร่าวๆ สิ่งที่ “เยอรมนี” ต้องแบกรับภาระการพ่ายศึก ดังนี้...
ฝ่ายชนะศึก ถือว่าฝ่าย “เยอรมนี” ก่อให้เกิด “สงครามโลกครั้งที่ 1” ต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหาย! “ไรน์แลนด์” ซึ่งหมายถึงดินแดน 2 ฝั่งแม่น้ำไรน์ ต้องเป็นเขตปลอดทหาร! กองทัพเยอรมนีมีทหารได้แค่ “1 แสนนาย”! ห้าม “เยอรมนี” ผลิตอาวุธ-ห้ามนำเข้า-ส่งออกอาวุธ! ต้องคืนอำนาจอธิปไตยของอัลซาส-ลอร์เรนแก่ฝรั่งเศส! “จักรวรรดิเยอรมนี” ถูกแจ้งข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ! เป็นต้น
ผีนักประวัติศาสตร์หนุ่ม-มีการลงนาม “สัญญาสงบศึก” เมื่อวันที่ “11 พฤศจิกายน 1918” หรือเมื่อ 104 ปีที่แล้ว บนรถไฟ ณ เมืองคองเปียง ประเทศฝรั่งเศส
ชาวโลกจึงถือวันที่ “11 เดือน 11” ของทุกปี เป็น “วันยุติสงครามโลกครั้งที่ 1” อย่างเป็นทางการ!
ผีนักประวัติศาสตร์ไทย-ท่านสมาชิกทราบกันไหมว่า...ประเทศสยาม เป็น 1 ใน 3 ประเทศเอเชีย ที่ส่งทหารจำนวน 1,284 นาย ไปทำศึกกับเขาด้วยนะ โดยเข้าร่วมกับ “ฝ่ายสัมพันธมิตร”
คณะนายทหารไทย เดินทางไปประเทศฝรั่งเศส และเมื่อสงครามยุติ “ทหารไทย” ได้กลับมาถึงชาติไทย ในวันที่ 21 กันยายน 2462
โดย “ในหลวงรัชกาลที่ ๖” ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างและบรรจุ “อัฐิทหาร 19 นาย” ไว้ใน “อนุสาวรีย์ทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1” เพื่อเชิดชูเกียรติทหารหาญที่เสียสละ และกำหนดให้วันที่ “11 พฤศจิกายน” ของทุกปี เป็น “วันระลึกทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1” โดยรัฐบาลไทยจะจัดพิธีวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์นี้
ผีนักรัฐศาสตร์-หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดระบอบการเมือง “สองค่ายใหญ่” ที่ต่อสู้ห้ำหั่นกันทั้งทางลับและเปิดเผย
ค่ายแรก-มี “กลุ่มชาติยุโรป” ใหญ่ๆ ร่วมกับ “มะกัน” ช่วยกันใช้วาทกรรมสร้างภาพ ว่า “ชาติพวกกู” เป็น “ชาติเสรีนิยม” ทำให้ดูเป็นชาติศิวิไลซ์ มีระบอบการเมืองแบบ “ประชาธิปไตยเลือกตั้ง” ซึ่งในความจริงเป็น “ประชาธิปไตยจอมปลอม” เพราะประโยชน์ส่วนใหญ่ไม่ใช่ของ “คนส่วนใหญ่” แต่กลับตกเป็นของ “คนส่วนน้อย”
เนื่องจากผู้บริหารชาติ เอื้อทุกวิธีการให้ “กลุ่มทุนใหญ่ยักษ์” ของพวกตน มีเสรีที่จะขยายอิทธิพลออกไปแสวงหา กับกอบโกยทรัพยากรและผลประโยชน์ จากชาติที่อ่อนแอกว่า โดยอ้างอย่างหน้าด้านๆ ว่า นี่แหละ... “การค้าเสรี” ที่เป็นธรรม
ผีนักเศรษฐศาสตร์-เฮ้ย!...เป็นธรรมตรงไหนวะ? ผมเห็น “ชาติตะวันตก” ได้เปรียบตลอด “ชาติใหญ่เอาเปรียบชาติเล็ก” ได้เต็มที่ เป็นเศรษฐกิจ “ปลาใหญ่สวาปามปลาเล็ก” อย่างเสรี ไม่เห็นจะเป็นธรรมเลย!
ผีนักรัฐศาสตร์-เอ่อ...ครับ...ผมก็ว่าอย่างนั้นครับ... ผมขอพูดต่อนะครับ...
ส่วนอีกค่าย คือ “ค่ายคอมมิวนิสต์รัสเซีย” มี “เลนิน” เป็น “นายกรัฐมนตรี” คนแรก “สหภาพโซเวียต” ประกอบด้วย รัสเซีย ยูเครน เบียโลรัสเซียหรือเบลารุส อุซเบกิสถาน คาซัคสถาน จอร์เจีย อาเซอร์ไบจาน ลิทัวเนีย มอลเดเวีย ลัตเวีย คีร์กิซสถาน ทาจิกิสถาน อาร์เมเนีย เติร์กเมนิสถาน เอสโตเนีย และอแลสกา!
เป็นไงครับท่านสมาชิก ดูศักยภาพของแต่ละค่ายแล้วน่ากลัวใช่ไหมครับ? ฉะนั้น... “รัฐทุนสามานย์” กับ “รัฐคอมมิวนิสต์” จึงพยายามจะหักโค่นกันและกัน ทั้งลับและแจ้งอยู่ตลอดเวลา?
ผีนักการเมือง-“ชาติทุนนิยม” กลัว “ชาติคอมมิวนิสต์” ที่สนับสนุน “คอมมิวนิสต์ทั่วโลก” ให้โค่นล้มรัฐทุนนิยม แล้วหันมาสร้างรัฐสังคมนิยม เพื่อช่วยให้ “ผู้ยากไร้” มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำขวัญ “ชนชั้นผู้ใช้แรงงาน จงสามัคคีกันสร้างโลกใหม่”!?
ผีนักเศรษฐศาสตร์-แหม...ก็รัฐของชนชั้น “นายทุน” กับรัฐของชนชั้น “ผู้ใช้แรงงาน” ย่อม “คิด” และมี “จุดยืน” ต่างกันชนิด “ฟ้ากับเหว” จะให้สามัคคีกันได้ยังไงล่ะ...จริงไหม?
“ผู้นำชาติทุนนิยม” กับ “ผู้นำชาติคอมมิวนิสต์” จึงขัดแย้งปะทะกันในสังคมโลกตลอด อืม...ชาติต่างๆ จึงยังต้องต่อสู้กันทั้งแบบแอบแฝงกับเปิดเผย เพื่อชิง “อำนาจ-เงินทอง-ผลประโยชน์” ทำให้สถานการณ์โลกไม่สงบสุข...
โลกจึงยังคงเกิด “สงครามขนาดย่อม”! “สงครามขนาดกลาง”! และมีแนวโน้มจะต้องเกิด “สงครามใหญ่” ขึ้นอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย...!!!
ชัชคิด-เฮ้อ...เพราะชาติมหาอำนาจทั้งหลาย ยังหิวกระหาย “อำนาจ-เงินทอง-ผลประโยชน์” ไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักพอ...โลกสงบได้แค่ 21 ปี ก็เกิด “สงครามโลกครั้งที่ 2” ใน พ.ศ. 2482!
(...อ่านต่อวันพุธหน้าครับ...)