เวลานี้สหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่า 1 ล้านคนแล้ว จากการนับของรอยเตอร์ ข้ามผ่านหลักหมายที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ราว 2 ปีหลังตรวจพบไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นครั้งแรก
หลักหมาย 1 ล้านคนคือเครื่องเตือนความทรงจำอันชัดเจนที่สุดของความเศร้าและความสูญเสียที่มีต้นตอจากโรคระบาดใหญ่ แม้ภัยคุกคามของไวรัสที่อยู่ในความคิดจิตใจของผู้คนได้ลดน้อยถอยลงแล้วก็ตาม ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวเท่ากับว่ามีชาวอเมริกันชนถูกโควิด-19 คร่าชีวิต 1 รายในทุกๆ 327 คน หรือมากกว่าประชากรทั่วทั้งเมืองซานฟรานซิสโกหรือซีแอตเทิล
ในช่วงเวลาที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคระบาดใหญ่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ในเวลานั้นไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เพิ่งคร่าชีวิตผู้คนในสหรัฐฯ ไปเพียง 36 ราย แต่หลายเดือนหลังจากนั้น ไวรัสมรณะแพร่ระบาดเป็นไฟลามทุ่ง ทะลุทะลวงเข้าไปในพื้นที่เมืองซึ่งมีประชากรพักอาศัยอยู่หนาแน่นอย่างเช่นนครนิวยอร์ก จากนั้นก็แพร่ระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของประเทศ
ช่วงเดือนมิถุนายน 2020 ยอดผู้เสียชีวิตสะสมในสหรัฐฯ ก้าวผ่านจำนวนทหารอเมริกาที่สังเวยชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 ก่อนก้าวผ่านจำนวนทหารสหรัฐฯ ที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในดือนมกราคม 2021 ซึ่งตอนนั้นมียอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่มากกว่า 405,000 ราย
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โจมตีทั่วทุกหัวระแหงของโลก เวลานี้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 6.7 ล้านคน แต่องค์การอนามัยโลกคาดหมายว่าตัวเลขที่แท้จริงน่าจะแตะระดับเกือบๆ 15 ล้านราย ในนั้นรวมถึงผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 โดยตรง และผู้เสียชีวิตทางอ้อมจากโรคระบาดใหญ่
ภาพที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตจากโควิด-19 ยังคงเกาะกุมอยู่ในจิตใจของอเมริกันชน ไม่ว่าจะเป็นภาพรถบรรทุกห้องเย็นจอดประจำการอยู่ด้านนอกโรงพยาบาลท่ามกลางศพผู้เสียชีวิตที่ล้นทะลักสถานพยาบาลต่างๆ คนไข้ใส่ท่อช่วยหายใจนอนอัดแน่นอยู่ในห้องไอซียู รวมถึงแพทย์และพยาบาลอยู่ในอาการอ่อนล้า
ชาวอเมริกันหลายล้านคนกระตือรือร้นถลกแขนเสื้อรับวัคซีนโควิด-19 หลังเริ่มมีการจ่ายวัคซีนในช่วงปลายปี 2020 แต่ในช่วงต้นปี 2021 เวลานั้นโควิด-19 คร่าชีวิตผูู้คนในสหรัฐฯ ไปแล้วราวๆ 500,000 ราย
ในเดือนมกราคมของปีดังกล่าว มีอยู่ช่วงหนึ่งที่โควิด-19 คร่าชีวิตผู้คนในสหรัฐฯ ในแต่ละวัน มีค่าเฉลี่ยมากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุวินาศกรรมโจมตีสหรัฐฯ 11 กันยายน 2001 เสียอีก
แม้โควิด-19 มุ่งเล่นงานคนชราและกลุ่มคนที่มีสุขภาพอ่อนแอ แต่สำหรับคนแข็งแรงนั้นก็ไม่รอดพ้นเช่นกัน มันคร่าชีวิตเด็กในสหรัฐฯ หลายพันคน และพวกนักวิจัยประมาณการว่ามีเด็กสหรัฐฯ ราว 213,000 คน ที่ต้องสูญเสียพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่ง หรือผู้ดูแลระหว่างโรคระบาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นความสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้
หลังภัยคุกคามจากโควิด-19 ลดน้อยลงตามหลังการแพร่ระบาดระลอกโอมิครอนเมื่อช่วงฤดูหนาว ชาวอเมริกันจำนวนมากละทิ้งหน้ากากและกลับสู่ที่ทำงานในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ร้านอาหารและบาร์กลับมาเปิดบริการอีกครั้ง ในขณะที่ประชาชนได้เบี่ยงเบนความสนใจไปยังภาวะเงินเฟ้อและความกังวลทางเศรษฐกิจมากกว่าแล้วในเวลานี้
อย่างไรก็ตาม พวกนักวิจัยกำลังเดินหน้าทำงานพัฒนาวัคซีนเข็มกระตุ้น เนื่องจากไวรัสยังคงกลายพันธุ์ไม่หยุดหย่อน "มันไม่มีทางจบลง" นายแพทย์แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระดับสูงของสหรัฐฯ กล่าว "เรายังคงเผชิญกับโรคระบาดใหญ่ระดับโลก"
การติดตามโรคระบาดใหญ่โควิด-19 อย่างแม่นยำนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ รอยเตอร์และองค์กรอื่นๆ มีตัวเลขผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ ทะลุ 1 ล้านคนในเวลาที่แตกต่างกัน ความผัวผวนนี้สืบเนื่องจากแต่ละองค์กรมีวิธีการนับผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นของรอยเตอร์นั้น ได้นับรวมผู้เสียชีวิตทั้งที่ได้รับการยืนยันแล้วและอาจเสียชีวิตจากโควิด-19 เท่าที่มีข้อมูล
ยอดผู้เสียชีวิตที่แท้จริงจากโรคระบาดใหญ่ อาจไม่มีวันรู้เลยก็เป็นได้ เนื่องจากบางคนเสียชีวิตโดยที่ไม่เคยตรวจเชื้อ จึงไม่ปรากฏอยู่ในฐานข้อมูล นอกจากนี้ ผู้ติดเชื้อโควิด-19 บางราย อาจเสียชีวิตด้วยเหตุผลอื่น อย่างเช่นเป็นมะเร็ง แต่ยังคงถูกนับรวมในข้อมูล
(ที่มา : รอยเตอร์)