ภายใต้สีสันบรรยากาศ ความเป็นไปของโลกที่คงต้องขนหัวลุก ขนคอตั้ง ขึ้นมามั่งแล้ว!!! อันเนื่องมาจากความเป็นไปได้ของ “สงครามนิวเคลียร์” ที่ชักจะเป็นเรื่อง เป็นราว หรือมีสิทธิเป็นไปได้ยิ่งเข้าไปทุกที หรืออย่างที่ท่านเลขาธิการสหประชาชาติ “นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส” (Antonio Guterres) ท่านถึงกับต้องออกปากเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา (4 มี.ค.) นั่นแหละว่า... “ความขัดแย้งที่จะนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเรื่องเหลือเชื่อ หรือแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดถึง...แต่ขณะนี้มันชักเป็นจริง-เป็นจัง หรือเป็นไปได้ยิ่งเข้าไปทุกที...”
วันนี้...เลยคงต้องขออนุญาตเริ่มต้น ด้วยการย้อนกลับไปนำฉากเหตุการณ์ครั้งที่ “ระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรก” ถูกคุณพ่ออเมริกาหย่อนลงมาใส่หัวชาวญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ เมื่อช่วงวันที่ 9 สิงหาคมปี ค.ศ. 1945 ณ อำเภออูราคามิ จังหวัดนางาซากิ และได้ถูกเล่า ถูกบรรยาย โดยผู้ที่เหลือรอด อย่าง “ดร.ทาคาชิ นากาอิ” (Takashi Nagai) หัวหน้าแผนกรังสีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยนางาซากิ ไว้ในหนังสือเรื่อง “The Bells of Nagasaki” ที่คุณ “ฉัตรนคร องคสิงห์” แปลไว้เป็นภาษาไทยในชื่อ “นางาซากิ-เสียงครวญแห่งสันติ” ร้ายแรง ของสิ่งที่เรียกว่า เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว เผื่อว่าพอได้หลับตานึกภาพ ได้จินตนาการถึงความร้ายกาจ “ระเบิดนิวเคลียร์” หรือ “ปรมาณู” ได้บ้างไม่มาก-ก็น้อย...
ในบางช่วง บางตอน ของบทที่ 11 หรือบทที่ว่าด้วย “ทุกหย่อมหญ้าคือทะเลเพลิง” “ดร.นากาอิ” ท่านบรรยายเอาไว้ดังนี้ “11 นาฬิกา 2 นาทีของวันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม คริสต์ศักราช 1945 ระเบิดปรมาณูชนิดพลูโตเนียมแสดงแสนยานุภาพมหาศาลของมัน ที่ระดับความสูงราว 500 เมตร เหนือเทือกเขามัตสึยามา อันตั้งอยู่กลางอำเภออูราคามิ ของจังหวัดนางาซากิ พลังมากมายเกินกว่าคณานับของแรงอัดที่รุนแรงยิ่งกว่าพายุไต้ฝุ่นที่แรงที่สุดนั้น อัดกระแทกออกมาพร้อมๆ กับการระเบิด ตามด้วยพายุบ้าคลั่งที่พุ่งทะลวงสู่ทุกทิศทุกทางด้วยความเร็ว 2,000 เมตรต่อวินาที กระแทก...บด...อัด...ขยี้!!! กวาดเรียบทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ภาวะสุญญากาศที่เกิด ณ จุดใจกลางแห่งการระเบิด ทำให้สิ่งของแทบทุกอย่างไม่ว่าชิ้นใหญ่ ชิ้นเล็ก ถูกดูดลอยละลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน จากนั้น...จึงตกกระหน่ำกลับสู่พื้นดินเบื้องล่างอย่างกราดเกรี้ยว สุดฤทธิ์โทสะ อุณหภูมิที่พุ่งสูงถึง 9,000 องศาฟาเรนไฮต์ ทำให้ทุกสิ่งมอดไหม้ในพริบตา ฝนเหล็กเรืองรองด้วยประกายไฟที่เกิดจากเศษเล็ก เศษน้อย ของเนื้อโลหะ ถูกเผาแหลกเหลวโปรยปรายกลับสู่พื้นดิน ทุกหย่อมหญ้าคือทะเลเพลิง!!!”
นี่...เป็นไงทั่น!!! น่าเกลียด น่ากลัว น่าขนหัวลุก ขนคอตั้ง มาก-น้อยขนาดไหน แต่นี่แค่ระเบิดนิวเคลียร์ระดับ 15 กิโลตันเท่านั้นเอง เล่นเอาชาวนางาซากิตายไปรวดเดียว 30,000 คน ส่วนชาวฮิโรชิมาตายไปถึง 146,000 คน เพราะถ้าว่ากันถึงหัวรบนิวเคลียร์ในโลกใบนี้ ที่ว่ากันว่าน่าจะมีอยู่ประมาณ 12,700 หัวรบ ใน 9 ประเทศ ซึ่งมีตั้งแต่ระดับเล็กที่สุดหรือระดับ 1 กิโลตัน หรือที่เรียกกันว่า “อาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี” (Tactical Nuclear Weapons) ไปจนถึงระดับใหญ่ที่สุด คือระดับ 100 กิโลตัน โอกาสที่จะเกิดการตายโหง ตายห่ากันไปถึงขั้นไหน ก็คงต้องหลับตานึกภาพ จินตนาการเอาเองก็แล้วกัน หรืออาจเป็นไปอย่างที่หัวหน้าพรรคการเมืองชาตินิยมสุดโต่งของรัสเซีย พรรค “All-Russia Political Party Rodina” อย่าง “นายAleksey Zhuravlyov” แกออกมา “จำลองฉากเหตุการณ์” ทางทีวีช่อง 1 ของรัสเซีย ไปเมื่อเร็วๆ นี้นั่นแหละว่า เพียงแค่ขีปนาวุธ “Sarmat” ของรัสเซียที่ว่ากันว่าไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศสมัยใหม่ใดๆ สามารถรับมือได้ จากเรือดำน้ำรัสเซียลูกเดียวเท่านั้นเอง ก็อาจทำให้เกาะอังกฤษทั้งเกาะจมหายไปในมหาสมุทรแอตแลนติก หรืออาจกลายเป็น “ทะเลทรายแห่งกัมมันตรังสี” ไปพร้อมๆ กับการอุบัติขึ้นมา “คลื่นยักษ์สึนามิ” ที่สูงระดับ 500 เมตรเอาเลยถึงขั้นนั้น...
แต่ก็นั่นแหละ...แม้ว่าผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ท่านจะออกคำสั่งให้กองทัพรัสเซีย “เตรียมพร้อม” ด้านอาวุธนิวเคลียร์ไปแล้วก็ตาม แต่การงัดอาวุธมหาประลัยเหล่านี้ออกมา “บอมม์ม์ม์” ใส่กันและกันก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะนอกจากต่างฝ่ายที่มีอาวุธชนิดนี้ ต่างจับจ้อง มองความเคลื่อนไหวของแต่ละฝ่าย ในการตระเตรียม เคลื่อนย้าย หรือการแสดงออกถึงการคิดจะใช้อาวุธที่ว่าแบบไม่คิดกะพริบตาไปโดยตลอด แต่ยังต้องอาศัย “ลูกบ้า” แบบชนิด “เต็มพิกัด” อีกด้วยต่างหาก ด้วยเหตุนี้...ถ้าหากมันเป็นการสู้รบปรบมือในระดับธรรมดาๆ หรือแบบที่ฝ่ายรัสเซียเขาเรียกว่า “ปฏิบัติการทางทหาร” ไม่ใช่ “สงคราม” ในกรณีบุกยูเครน มันก็คงไม่ถึงกับต้อง “บ้า” กันมากมายสักเท่าไหร่นัก...
แต่ก็อย่างที่พอทราบๆ กันไปแล้วนั่นแหละว่า...ไปๆ-มาๆ มันไม่ใช่แค่การสู้กันระหว่าง “รัสเซียกับยูเครน” ต่อไปอีกแล้ว แต่กลายเป็นการสู้กันระหว่าง “รัสเซียกับอเมริกาและชาติตะวันตก” หรือกับ “นาโต” ยิ่งเข้าไปทุกที และไม่ใช่สู้กันแต่เฉพาะด้านเศรษฐกิจ หรือสงครามเศรษฐกิจ ที่ประเทศหมีขาวถูกโจมตีด้วยมาตรการ “แซงชั่น” ไปแล้วกว่า 5,000 รายการ แต่ความพยายามที่จะส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ จากประเทศอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกให้กับกองทัพยูเครน อันไม่ต่างอะไรไปจากการสู้กับกองทัพรัสเซียโดยอาศัยดินแดนยูเครนเป็นสมรภูมิ หรืออาศัย “สงครามตัวแทน” เพื่อหวังจะให้กองทัพรัสเซียหมดสภาพที่จะสู้กับใครต่อใครได้อีกต่อไป ดังคำกล่าวของรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกัน นายพล “ลอยด์ ออสติน” (Lloyd Austin) หรือคำประกาศของเลขาธิการนาโต “พลเอกเจนส์ สโตลเตนเบิร์ก” (Jens Stoltenberg) ที่พยายามยืดเวลาของสงครามคราวนี้ให้ยาวต่อไปเป็นเดือนๆ ปีๆ ไม่คิดจะสนับสนุน ส่งเสริมให้ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถหาข้อยุติ หาจุดลงตัวในโต๊ะเจรจาความพยายามสร้างแรงกด แรงบีบ ในลักษณะเช่นนี้ ย่อมมีโอกาสก่อให้เกิด “ลูกบ้า” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...
เพราะแค่กองทัพยูเครนขอให้อเมริกาส่งปืนใหญ่ 155 มิลลิเมตร หรือที่เรียกกันว่า “M777 Howitzers” ให้สัก 18 กระบอก ปรากฏว่าเที่ยวบินขนส่งอาวุธจากอเมริกา ขนปืนใหญ่ชนิดดังกล่าวมาประเคนให้กองทัพยูเครนมากมายถึง 72 กระบอก แถมกระสุนอีกไม่ต่ำกว่า 140,000 นัด ชนิดเรียกว่า “ขาดตลาด” ไม่พอเหลือจะขายให้ไต้หวันเอาเลยถึงขั้นนั้น ตามด้วยการประเคนจรวดต่อต้านรถถังให้อีก 5,000 ลูก เรดาร์ต่อต้านอากาศยาน 2 ชุดใหญ่ๆ ยานลำเลียงหุ้มเกราะ “M113” อีก 200 คัน รถฮัมวี 100 คัน และกำลังเตรียมๆ เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ “Mi-17” ให้อีก 11 เครื่อง ฯลฯ ฯลฯ หรือนับตั้งแต่วันที่กองทัพรัสเซียตัดสินใจ “ปฏิบัติการทางทหาร” ต่อยูเครน รัฐบาลอเมริกันของ “ผู้เฒ่าโจ” ได้จัดสรรความช่วยเหลือทางทหารให้กับกองทัพยูเครนไปแล้ว ไม่น้อยไปกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือมากกว่างบกลาโหมของประเทศยูเครนตลอดปี ค.ศ. 2021 ไปแล้วกว่าหนึ่งเท่าตัว...
โดยบรรดาอาวุธเหล่านี้ได้ถูกส่งมายังสนามบินโปแลนด์ ก่อนลำเลียงผ่านทางรถยนต์ รถไฟ เข้าไปในเขตแดนยูเครน ส่วนการฝึกให้ทหารยูเครนใช้อาวุธเหล่านี้ ก็กระทำการกันในประเทศเยอรมนี โดยมีครูฝึกชาวแคนาดาเข้าร่วมด้วยช่วยกัน ไม่ต่างไปจากประเทศยุโรปไม่น้อยกว่า 5 ประเทศ ที่แสดงออกถึงความขมีขมัน กระเหี้ยนกระหือรือ ในอันที่จะอาศัย “ตัวแทน” สู้รบกับกองทัพรัสเซียไปจนกว่าจะไม่เหลือ “ชาวยูเครนคนสุดท้าย” โดยพฤติกรรมและการแสดงออกของคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตกที่ค่อนข้างโจ่งแจ้งและชัดเจน ว่ามุ่งที่จะสู้กับหมีขาวรัสเซียในทุกๆด้าน แม้แต่ในด้านวัฒนธรรม ดนตรี กีฬา ตลอดไปจนถึงนิยายวรรณกรรมของรัสเซีย ฯลฯ ต่างมีอันถูกต่อต้าน ปฏิเสธ ไปด้วยกันทั้งนั้น อันนี้นี่เอง...ที่มันอาจก่อให้เกิด “ลูกบ้า” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้!!! เพราะแทบไม่ต่างไปจากความพยายามลบล้างประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันๆ ปีออกไปจากประวัติศาสตร์โลก จากแผนที่โลก เอาเลยถึงขั้นนั้น การเตรียมพร้อมด้านอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย จึงเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ หรือเป็นเรื่องที่ทำให้ความขัดแย้งอันสามารถหาข้อยุติ ลงตัว สามารถพูดคุยกันในโต๊ะเจรจาได้สบายๆ กลับกลายเป็นความขัดแย้งที่อาจนำไปสู่ “สงครามนิวเคลียร์” ชักมีความเป็นไปได้ยิ่งเข้าไปทุกที...