“อาวุธนิวเคลียร์” เป็นคำที่ถูกกล่าวขานกันมากในยุคนี้ และน่าวิตกที่โลกมีความเสี่ยงสูงขึ้นไปทุกทีที่จะต้องเผชิญกับสงครามนิวเคลียร์
เป็นที่รู้กันว่า ทุกชาติที่เป็นตัวเอกบนเวทีโลกขณะนี้ต่างมีอาวุธนิวเคลียร์กันทั้งนั้น และยังทดสอบความก้าวหน้าอยู่เป็นระยะ ทั้งยังขู่ว่าหากมีความจำเป็นก็ต้องใช้ ฉะนั้นเมื่อถึงเหตุการณ์วิกฤต อาจเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายยังไม่ทันถล่ม ฝ่ายที่คาดว่าจะโดนถล่มก็กลัวจนตกใจชักปืนก่อน เมื่อถึงวันนั้นก็จะถล่มกันเละจนคาดไม่ได้ว่าโลกใบนี้จะเป็นเช่นไร เพราะระเบิดนิวเคลียร์ลูกย่อมๆขนาดเท่าระเบิดธรรมดา แค่ลูกเดียวก็ทำให้เมืองทั้งเมืองพร้อมกับชีวิตผู้คนละลายหายไปได้
มีการประเมินกันไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ แล้วว่า ทั่วโลกมีหัวรบนิวเคลียรกว่า ๑๕,๗๐๐ หัว ในจำนวนนี้ ๔,๑๒๐ หัวติดตั้งพร้อมยิงไว้แล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่ามีเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าไหร่
แต่เย็นใจได้อย่างหนึ่งว่า เขายิงได้แม่นๆกันทั้งนั้น ขนาดห่างเป็นพันๆกิโลเมตรยังไม่พลาดเป้า ไม่รู้มองเห็นได้ยังไง คงไม่มีลูกหลงมาถึงเราแน่ แต่อย่าแส่ไปชักศึกเข้าบ้านก็แล้วกัน
อาวุธนิวเคลียร์ หรือ ปรมาณู หมายถึงระเบิดที่ใช้ปฏิกิริยานิวเคลียร์ สามารถใช้สารเพียงเล็กน้อยก็เกิดแรงระเบิดทำลายล้างได้สูง และยังแผ่กัมมันตรังสีออกไปด้วย ทำให้คนที่ได้รับกัมมันตรังสีต้องพิการหรือตายไปอย่างช้าๆ อย่างระเบิดไฮโดรเยนในสมัยก่อน หนักประมาณ ๑,๑๐๐ กิโลกรัมก็มีแรงระเบิดเทียบเท่ากับระเบิดทีเอ็นทีมากกว่า ๑.๒ ล้านตัน
ความจริงโลกก็เคยได้รู้ฤทธิ์เดชของอาวุธนิวเคลียร์มาแล้วในปลายสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่ออเมริกานำระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลก มีชื่อว่า “ลิตเติลบอย” ความยาว ๓ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง ๗๑ เซนติเมตร หนัก ๔,๐๐๐ กิโลกรัม แต่ใช้ยูเรเนียมเพียง ๖๔ กิโลกรัมเท่านั้น ใส่ชูชีพไปหย่อนเหนือเมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๔๘๘ แล้วจุดระเบิดที่ความสูง ๕๘๐ เมตร มีแรงระเบิดถึง ๑๓,๐๐๐-๑๖,๐๐๐ ตัน ทำให้ผู้คนประมาณ ๗๐,๐๐๐ คนเสียชีวิตทันที และได้รับกัมมันตรังสีบาดเจ็บกับเป็นมะเร็งตายในเวลาต่อมาอีกเป็นจำนวนมาก
ต่อมาอีก ๓ วัน ในวันที่ ๙ สิงหาคมก็นำลูกที่ ๒ มีชื่อว่า “แฟตแมน” ไปหย่อนใส่เมืองนางาซากิอีก ลูกนี้ใช้ยูเรเนียมจุดระเบิด มีแรงระเบิด ๒๑,๐๐๐ ตัน แรงกว่าลูกแรกเสียอีก ส่งผลให้มีผู้คนตายทันที ๗๕,๐๐๐ คน
โดนของใหม่เข้าไป ๒ ลูกญี่ปุ่นก็รีบยอมแพ้ทันทีก่อนจะโดนลูกที่ ๓
นี่คือสงคราม ที่ว่าทหารรบกับทหารจะไม่ให้ประชาชนต้องได้รับอันตรายด้วยนั้น เป็นเพียงคำพูดให้โก้ แต่การกระทำเอาชีวิตประชาชนสังเวยเพื่อให้ทหารยอมแพ้
หลังจากแผลงฤทธิ์ในสงครามให้เห็นผลแล้ว นิวเคลียรย์ก็ถูกนำมาใช้ในทางสันติ แต่สิ่งที่มีฤทธิ์ร้ายแรงแบบนี้ก็ไว้ใจง่ายๆไม่ได้ แม้จะระวังอย่างดีก็เกิดอุบัติเหตุได้ นิวเคลียร์ที่เอามาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้แผลงฤทธิ์คร่าชีวิตผู้คนไปอีกถึง ๒ ครั้ง
ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๒๙ เกิดระเบิดขึ้นที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เชอร์โนบิล ที่เมืองเชอร์โรบิล ของยูเครน ประเทศที่กำลังโด่งดังอยู่ในตอนนี้ แต่ตอนนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียด เหตุเกิดขึ้นเมื่อทีมวิศวกรตรวจสอบการทำงานของระบบความเย็น โดยปิดระบบรักษาความปลอดภัย เกิดแรงดันไอน้ำสูงขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ระบบตัดการทำงานอัตโนมัติไม่ทำงาน ทำให้เตาปฏิมากรเตาหนึ่งเกิดระเบิดขึ้น แต่การระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่เหมือนกับการระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์ เพราะยูเรเนียมที่ใช้ในโรงไฟฟ้าไม่ได้เสริมสมรรถนะเหมือนที่ใช้ทำระเบิด จึงมีความเสียหายน้อยกว่า แต่ก็มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ของโรงไฟฟ้าและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเสียชีวิต ๔๗ คน สารกัมมันตรังสีแพร่กระจายสู่บรรยากาศ ทำให้มีผู้เสียชีวิตตามมาอีกราว ๙,๐๐๐ คนจากการเป็นมะเร็งและโรคอื่นๆ สารกัมมันตรังสีกระจายไปในน้ำและอากาศของทวีปยุโรปกว่า ๓.๙ ตารางกิโลเมตร ส่งผลกระทบต่อคน ๖.๖ ล้านคน พื้นที่รัศมี ๓๐ กิโลเมตรถูกประกาศเป็นเขตรห้ามเข้าตลอดมา คาดว่าต้องใช้เวลามากกว่า ๓๐๐ ปีจึงกำจัดกัมมันตรังสีได้หมด
ต่อมาในวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ก็เกิดเหตุแบบนี้อีกที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ไดอิชิ ที่ญี่ปุ่น ครั้งนี้เกิดจากคลื่นสึนามิหลังแผ่นดินไหว ทำให้เครื่องปฏิมากร ๓ ใน ๖ เครื่องขาดสารหล่อเย็น ความร้อนสูงขึ้นจนหลอมละลาย ปลดปล่อยกัมมันตรังสีออกมา ญี่ปุ่นได้ใช้น้ำทะเลและกรดบอริกเข้าไปหล่อเตาปฏิมากรณ์ลดอุณหภูมิไว้ได้ในระยะเวลาไม่นาน มีคนงานบาดเจ็บ ๔ คนจากเครนถล่ม ซึ่งไม่รุนแรงถึงเสียชีวิต อีกประมาณ ๑๑ คนได้รับกัมมันตรังสี
แม้สถานการณ์จะอยู่ในขั้นควบคุมได้ ไม่ได้รุนแรงเหมือนเชอร์โนบิล ญี่ปุ่นก็ต้องอพยพผู้คนออกจากพื้นที่ในรัศมี ๒๐ กิโลเมตร ห้ามบินในรัศมี ๓๐ กิโลเมตร และมีคนป่วยตายจากกัมมันตรังสีครั้งนี้อีกจำนวนหนึ่ง
การระเบิดที่เชอร์โนบิลและฟูกุชิมะนี้ ทำให้คนที่คิดจะสร้างโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์พากันฝ่อไปตามกัน รวมทั้งไทยเราด้วย
นี่ก็เป็นความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับนิวเคลียร์ที่น่าสนใจยิ่งกว่าข้าวเหนียวมะม่วง แม้ยังห่างจากเรา แต่ดูๆไว้บ้างก็ดี เพราะขณะนี้โลกได้แบ่งเป็นฝ่ายกันชัดขึ้นทุกที และไม่ใช่สงครามเย็นอย่างแต่ก่อน แต่เป็นสงครามร้อน นาทีที่จะกดปุ่มเกิดขึ้นได้ทุกเวลา