จริง-ไม่จริง!!!...ก็ยังมิอาจสรุปได้โดยชัดเจน แต่การที่สื่อทางการของจีนอย่าง “Global Times” เขาได้อ้างอิงถึงคำให้สัมภาษณ์ของรองเลขาธิการสภาความมั่นคงรัสเซีย “นายMikhail Popov” เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (31 มี.ค.) ไว้ในข้อเขียน บทความ โดย “นายWang Wenwen” ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ 4 เมษายน ประมาณว่า นอกจากรัฐบาลอเมริกันจะยกเว้นการ “นำเข้า” ปุ๋ยจากรัสเซีย โดยถือว่าเป็น “สินค้าที่มีความจำเป็น” แล้ว เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัทเอกชนสหรัฐฯ ยังเพิ่มการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียขึ้นไปอีกถึง 43 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 100,000 บาร์เรลต่อวัน ซะอีกด้วยต่างหาก???
โดยถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปตามที่ว่านี้จริงๆ ความเคลื่อนไหวหรือการกระทำของคุณพ่ออเมริกาในช่วงนี้ ก็แทบไม่ต่างอะไรไปจากการ “ต้มตุ๋นยุโรป” ดังที่ข้อเขียนบางช่วง บางตอนของบทความดังกล่าว เขาได้ระบุเอาไว้ประมาณว่า “The US move as ensnaring its European allies” อะไรประมาณนั้น เพราะขณะที่พยายามกดแล้ว กดอีก บีบแล้ว บีบอีก ให้บรรดาประเทศอียู-อีย้วยทั้งหลาย เลิกซื้อ เลิกพึ่งพาพลังงานจากรัสเซีย ไม่ว่าแก๊ส น้ำมัน ถ่านหิน ฯลฯ หรือแทบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของรัสเซีย แต่ตัวเองดันไปแอบซื้อพลังงานราคาถูกๆ จากรัสเซีย แล้วนำมาขายแพงๆ ให้กับบรรดาพันธมิตรในยุโรปซะเฉยเลย!!! โดยเฉพาะการขาย “แก๊ส-LNG” ของสหรัฐฯ ให้กับบรรดาประเทศในยุโรปช่วงนี้ หรือตลอดช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ต้องเรียกว่า....ระเบิดเถิดเทิงเอาเลยก็ว่าได้ หรือเพิ่มขึ้นไปถึง 65 เปอร์เซ็นต์จากการส่งออกโดยปกติ ทั้งที่แพง...แสน...แพงกว่าแก๊สรัสเซียไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แถมยังต้องจัดหาเรือ หาถังใส่แก๊ส แล้วยังต้องรอนแรมขนส่งข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นระยะทางยาวไกล ต่างไปจากการ “เปิดปุ๊บ-ติดปั๊บ” โดยท่อขนส่งแก๊ส “Nod Stream” ของรัสเซียมายังยุโรป แบบชนิดแทบเทียบกันไม่ได้...
แต่ก็นั่นแหละ...ในเมื่อประเทศยุโรปจำนวนไม่น้อย ออกจะเต็มไปด้วยบรรดาผู้ติดเชื้อไวรัส “Russophobia” อย่างชนิดแทบไม่มีวัคซีนรายใดพอที่จะช่วยได้ ความพยายามที่จะเป็นอิสระจากการ “พึ่งพา” พลังงานรัสเซีย โดยต้องหันไป “พึ่งพา” แก๊สจากสหรัฐฯ กันแทนที่ ถึงขั้นตัดสินใจลงนามในข้อตกลงว่าอเมริกาจะจัดหาแก๊สจำนวนไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านคิวบิกเมตรภายในปีนี้ และอีก 50,000 ล้านคิวบิกเมตรภายในปีหน้า ให้กับประเทศต่างๆ ในยุโรป จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจากเนื้อหาในบทเพลงยุคโบร่ำโบราณของ “ศิรินทรา นิยากร” ศิลปินเพลงบ้านเรานั่นเอง นั่นคือ... “รู้เขาหลอก...แต่เต็มใจให้หลอก...ยิ้มข้างนอก-ช้ำใน” อะไรประมาณนั้น เพราะไม่เพียงแต่ต้องหันไปซื้อแก๊สแพงๆ จากอเมริกาแทนแก๊สราคาถูกๆ จากรัสเซีย การผูกมัดตัวเองไว้กับนโยบายความมั่นคงของสหรัฐฯ ที่พยายามอาศัยเครื่องมือทางทหารอย่าง “นาโต” ขยายบทบาท อิทธิพลเข้าไปในยุโรปตะวันออกจนถึงหน้าปากประตูบ้านรัสเซียยิ่งเข้าไปทุกที เลยทำให้บรรดาประเทศยุโรปทั้งหลาย แทบไม่ต่างอะไรไปจาก “ถูกมัดเอาไว้กับรถศึกของอเมริกา” ดังที่ข้อเขียน บทความ ของสื่อทางการจีน ว่าด้วยเรื่อง... “US biggest spoiler of Ukraine situation, European security” เขาได้สะท้อนแง่คิดและมุมมอง เอาไว้เมื่อช่วงวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมานั่นเอง...
คือไม่เพียงแต่การซื้อแก๊สจากอเมริการาคาแพงๆ แต่เพียงเท่านั้น ความพยายามจัดซื้ออาวุธมูลค่าถึง 450 ล้านยูโรเพื่อส่งไปให้กับกองทัพนาซีใหม่ในยูเครนเอาไว้รบกับกองทัพรัสเซีย หรือถึงขั้นประเทศที่เกลียด-กลัวรัสเซียเอามากๆ อย่างโปแลนด์ ถึงกับเสนอให้อเมริกาส่ง “ขีปนาวุธนิวเคลียร์” มาติดตั้งไว้ในโปแลนด์ เอาเลยถึงขั้นนั้น ด้วยฉากสถานการณ์การเผชิญหน้าในทางทหารเช่นนี้นี่เอง เลยยิ่งทำให้ “ราคาหุ้น” ของบริษัทผลิตอาวุธในอเมริกา อย่าง “Raytheon”, “Lockheed Martin” พุ่งเอาๆ ตั้งแต่ 3 เปอร์เซ็นต์ไปจนถึง 16 เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึงบริษัทผลิตอาวุธของอังกฤษ อย่าง “BAE Systems” ที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปถึง 26 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น การยั่วยุ ชักนำให้บรรดาประเทศยุโรปโดดลงเหว หรือจมดิ่งไปกับไฟนรกสุดขอบฟ้า จึงถือเป็น “ผลประโยชน์ของอเมริกา” ที่จำต้องหาทางขับเคลื่อนให้ฉากสถานการณ์ต่างๆเป็นไปในแนวนี้ต่อไปให้จงได้ ดังที่ศาสตราจารย์ “Li Haidong” แห่งสถาบัน “Institute of International Relation” มหาวิทยาลัยกิจการระหว่างประเทศของจีน เขาได้สรุปความคิด ความเห็น เอาไว้ในข้อเขียน บทความเรื่อง “US biggest spoiler of Ukraine situationฯ” นั่นแหละว่า... “อเมริกาพยายามที่จะอาศัยยูเครนเป็นเครื่องมือ เพื่อทำให้รัสเซียเลือดไหลให้มากๆ เข้าไว้” หรือ “ถ้าหากยูเครนและรัสเซียสามารถหาหนทางประนีประนอมความขัดแย้งต่างๆ ลงไปได้ อเมริกาก็คงไม่อาจทำให้รัสเซียเลือดไหลไปจนกระทั่งหยดสุดท้าย”...
ด้วยเหตุนี้...การตีปี๊บ ออกข่าว สร้างข่าว สร้างฉากสถานการณ์ เพื่อให้การหาข้อยุติ หาจุดลงตัว ในการรบไป-เจรจาไประหว่างยูเครนและรัสเซีย เลยยังต้องยืดเยื้อ คาราคาซัง สลับไป-สลับมากับข่าวคราวว่าด้วยการสังหารหมู่พลเรือน การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกองทัพรัสเซียต่อชาวยูเครน โดยมีอดีตนักแสดงหรือ “ดาวตลก” อย่างประธานาธิบดี “Volodymyr Zelensky” แห่งยูเครนออกมารับบท เล่นบท ได้อย่างชนิดสมน้ำ-สมเนื้อ ข่าวคราวว่าด้วยการถล่มเมือง “Mariupol” การสังหารโหดที่เมือง “Bucha” ฯลฯ โดยกองทัพรัสเซียต่อบรรดาชาวยูเครนทั้งหลาย ชนิดถึงขั้นต้องหาทางลากผู้นำรัสเซียอย่าง ประธานาธิบดี “ปูติน” ให้ขึ้นศาลในฐานะ “อาชญากรสงคราม” ให้จงได้ จึงถูกปล่อย ถูกสร้าง ขึ้นมาอย่างเป็นระลอก และทำให้การหาข้อยุติ หาจุดลงตัว ในกรณี “วิกฤตยูเครน” ยิ่งต้องลากยาวว์ว์ว์ออกไปยิ่งขึ้นเท่านั้น...
แต่ก็อย่างว่า...ภายใต้บทประพันธ์ หรือบทภาพยนตร์แห่งความฉิบหายวายวอด ในลักษณะเช่นนี้ ใช่ว่านักยุแยงตะแคงรั่ว ที่ถนัดในการสร้างเวร-สร้างกรรม อย่างคุณพ่ออเมริกา จะสามารถไปโลด ไปแรง หรือไปได้โดยตลอด เพราะอย่างที่ระดับหัวหน้าคณะผู้บริหารวาณิชธนกิจชื่อดังของสหรัฐฯ เอง คือ “นายJamie Dimon” แห่งบริษัท “JP Morgan” ถึงกับต้องออกมาเตือนบรรดาผู้ถือหุ้นไว้ในจดหมายข่าวเมื่อช่วงวันจันทร์ (4 เม.ย.) ที่ผ่านมานั่นแหละว่า...ด้วยการผนวกรวมกันระหว่างปัญหาเงินเฟ้อ ปัญหาหนี้สินของสหรัฐฯ ปัญหาการขาดแคลน Supply Chains โดยเฉพาะวัตถุดิบและพลังงาน ไปจนถึงความขัดแย้งในยูเครนและโดยเฉพาะการแซงชั่นรัสเซีย ฯลฯ นั่นเอง ที่กำลังกลายเป็นตัว “เพิ่มความเสี่ยง” ให้กับระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั่วทั้งระบบ หรือทำให้โอกาสที่จะเกิด “สิ่งที่ไม่เคยคาดหมายมาก่อน” และจะกลายเป็นตัวเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างในตลาด เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการค้า อันจะเป็นตัวก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจอเมริกา รวมทั้งอีกหลายต่อหลายประเทศ กำลังอุบัติขึ้นมาในอีกไม่นาน-ไม่ช้า...
หรือกระทั่งรายงานการวิจัยของบริษัทการเงินระดับโลก อย่าง “Goldman Sachs” ช่วงวันพฤหัสฯ สัปดาห์ที่แล้ว (30 มี.ค.) ก็ยังอดมิได้ที่จะสรุปไว้ค่อนข้างชัดเจน ว่าประเทศที่เคยมีบทบาทครอบงำระบบการเงินโลกอย่างอเมริกา กำลังสูญเสียสถานะและบทบาทดังกล่าว อันเนื่องมาจากความตกต่ำของเงินสกุลดอลลาร์ที่ถูกนำไปใช้เป็น “เครื่องมือ” หรือเป็น “อาวุธ” ในการเล่นงานประเทศฝ่ายตรงกันข้ามมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้...ความพยายามฉุดกระชากลากถูบรรดาประเทศยุโรปทั้งมวล ให้ต้องลงเหว ลงนรก ไปพร้อมๆ กับคุณพ่ออเมริกา จึงย่อมสามารถนำมาซึ่ง “ความเปลี่ยนแปลง” ในระดับทั่วทั้งโลก หรือเท่ากับถือเป็นการ “เปลี่ยนระเบียบโลก” ไปโดยปริยาย นั่นเอง...