ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
สรรพคุณ ยาลม ๓๐๐ จำพวกนั้นสามารถสรุปได้ ๕ ประการกล่าวคือ
ประการแรก ขับลมในทางเดินอาหาร ขับลมในเส้น
ประการที่สอง แก้พิษในโลหิต ลดน้ำตาลในกระแสเลือด ลดการติดเชื้อของจุลชีพก่อโรค บำรุงน้ำดี ช่วยย่อยอาหาร ย่อยไขมัน
ประการที่สาม ระบายถ่ายพิษและเสมหะ
ประการที่สี่บำรุงสมอง
ประการที่ห้าเป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยเพราะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงติดอันดับโลก [๑]
แต่คุณค่าที่มากไปกว่าสรรพคุณในตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก ยังมีอีกหลายมิติ เช่น มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เป็นตำรับยาแผนไทยของชาติ ในตำรายาของชาติเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐[๒]
ตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวกยังเป็น “ตำรับยาสุดท้าย” ในพระคัมภีร์ไกษยซึ่งเป็น “พระคัมภีร์สุดท้าย” ในตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงย่อมมีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะตำรับยาสำคัญในตำรายาหลวงของชาติ [๓]
ด้วยเพราะตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ซึ่งมียาลม ๓๐๐ จำพวก เป็นตำรับยาสุดท้ายนี้ทรงคุณค่ายิ่ง จึงได้ถูกจัดพิมพ์ขึ้นมาอีกครั้ง ภายใต้ชื่อ“แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ภูมิปัญญาทางการแพทย์และมรดกทางวรรณกรรมของชาติ”จัดทำโดยคณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒
โดยในตำรา“แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ภูมิปัญญาทางการแพทย์และมรดกทางวรรณกรรมของชาติ”นี้ พระบาทสมเด็จพระบรมราชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับไว้ที่หน้าปกของตำรายานี้อันเป็นสิริมงคลสูงสุดต่อการแพทย์แผนไทยอย่างยิ่ง [๔]
แม้จะมีคุณค่าทางสรรพคุณยา การแพทย์แผนไทย และประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังมีฐานะเป็นยาอายุวัฒนะด้วยก็ตาม แต่ยาลม ๓๐๐ จำพวกนี้ยังมีเรื่องหนึ่งที่ถือได้ว่าอาจเป็น “อุปสรรค”สำคัญก็คือ “รสยา”
“รสขมและตามด้วยร้อน” ของยาลม ๓๐๐ จำพวก ทำให้มีผู้ที่รับประทานยามีข้อสงสัยว่าจะทำอย่างไรให้รับประทานได้ต่อเนื่องได้นานถึง ๙ เดือน เพื่อให้เป็นยาอายุวัฒนะตามที่ได้ระบุเอาไว้ในคัมภีร์ไกษย ในตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์สมัยรัชกาลที่ ๕ [๓]
เฉพาะเรื่องรสยานั้น ในตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวกนี้ ได้กำหนด “น้ำกระสายยา” เอาไว้ความว่า
“ตำเปนผงละลายน้ำร้อนหรือน้ำส้มก็ได้ หรือส้มซ่าก็ได้ น้ำผึ้งก็ได้ หรือน้ำร้อนก็ได้” [๓]
น้ำกระสายยาในทางเภสัชกรรมแผนไทย น้ำหรือของเหลวที่ใช่สำหรับละลายยา โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้
วัตถุประสงค์แรก เพื่อให้ กลืนยาง่าย ไม่ฝืดหรือติดคอ และช่วยแต่งให้มีรส สี กลิ่น น่ารับประทาน
วัตถุประสงค์ที่สอง เพื่อช่วยให้ยามีฤทธิ์ตรงต่อโรค นำฤทธิ์ยาให้แล่นเร็ว ทันต่ออาการของโรค
วัตถุประสงค์ที่สาม เพื่อเพิ่มสรรพคุณของยา ให้มีฤทธิ์แรงขึ้น หรือให้มีฤทธิ์ช่วยตัวยาหลัก ในการรักษาอาการข้างเคียง
หากจำแนกน้ำกระสายยาตามข้อความนี้แล้ว ย่อมแสดงให้เห็นว่ามีน้ำกระสายยา ๔ ชนิด ได้แก่
๑.น้ำร้อน ไม่มีรส แต่เป็นชูรสยา เป็นตัวทำละลายยาที่ทำให้เกิดกลิ่นและความร้อนเพิ่มขึ้น
๒.น้ำส้ม มีรสหวานและเปรี้ยวเล็กน้อย ลดความร้อนแรงของการทำละลายด้วยน้ำร้อน
๓.น้ำส้มซ่า มีรสหวานอมเปรี้ยวมากขึ้น คล้ายกับน้ำส้มแต่มีระดับความเปรี้ยวมากขึ้น
๔.น้ำผึ้ง มีรสหวาน ลดความเผ็ดร้อน
อย่างไรก็ตามกระสายยายังคงต้องมีการเลือกใช้ตาม“เวลา” ที่เหมาะสม ด้วยเพราะการแพทย์แผนไทยยังได้กำหนดน้ำกระสายยาให้สอดคล้องกับ“กาลสมุฏฐาน” แบ่งเป็น ๒ รูปแบบ คือ รูปแบบของการแบ่งเวลาเป็น ๓ ช่วงเรียกว่า“กาล ๓”กับ การแบ่งเวลาเป็น ๔ ช่วง เรียกว่า“กาล ๔” ดังนี้
โดย“กาล ๓” คือ กลางวันแบ่งออกเป็น ๓ ยาม กลางคืนแบ่งออกเป็น ๓ ยามคือ
ยาม ๑ นับตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐ น. ถึง ๑๐.๐๐ น. เป็นกาลกลางวัน และนับตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ น. ถึง ๒๒.๐๐ น. เป็นกาลกลางคืน เกิดโรคทางเสมหะ ต้องใช้น้ำกระสายยาที่เป็น “รสเปรี้ยว”
ยาม ๒ นับตั้งแต่เวลา ๑๐.๐๐ น. ถึง ๑๔.๐๐ น. เป็นกาลกลางวัน และนับตั้งแต่เวลา ๒๒.๐๐ น. ถึง ๐๒.๐๐ น. จะเป็นโรคทางดีและโลหิต ต้องใช้น้ำกระสายยา “รสขม”
ยาม ๓ นับตั้งแต่เวลา ๑๔.๐๐ น. ถึง ๑๘.๐๐ น. เป็นกาลกลางวัน และนับตั้งแต่เวลาเวลา ๐๒.๐๐ น.- ๐๖.๐๐ น. จะเป็นโรคทางลม ต้องใช้น้ำกระสายยา “รสร้อน”[๕]
ส่วน“กาล ๔” คือกาลวันแบ่งเป็น ๔ ยาม กลางคืนแบ่งออกเป็น ๔ ยามดังนี้
ยาม ๑ นับตั้งแต่ (ย่ำรุ่ง) เวลา ๐๖.๐๐ น. ถึง ๙.๐๐ น. เป็นกาลกลางวัน และนับตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ น. ถึง ๒๑.๐๐ น. เป็นกาลกลางคืน เป็นสมุฏฐานอาโป (ธาตุน้ำ) พิกัดเสมหะ
ยาม ๒ นับตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ น. ถึง ๑๒.๐๐ น. เป็นกาลกลางวัน และนับตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ น. ถึง ๒๑.๐๐ น. เป็นกาลกลางคืน เป็นสมุฏฐานอาโป (ธาตุน้ำ) พิกัดโลหิต
ยาม ๓ นับตั้งแต่เวลา ๑๒.๐๐ น. ถึง ๑๕.๐๐ น. เป็นกลางวัน และนับตั้งแต่เวลา ๐.๐๐ น. ถึง ๐๓.๐๐ น. เป็นกาลกลางคืน เป็นสมุฏฐานอาโป (ธาตุน้ำ) พิกัดดี
ยาม ๔ นับตั้งแต่เวลา ๑๕.๐๐น. ถึง ๑๘.๐๐ น. เป็นกาลกลางวัน และนับตั้งแต่เวลา ๐๓.๐๐ น. ถึง ๐๖.๐๐ น. เป็นกาลกลางคืน เป็นสมุฏฐานวาโย (ธาตุลม) พิกัดวาตะ [๕]
ดังนั้นเมื่อพิจารณาสำหรับยาลม ๓๐๐ จำพวก กับ “กาลสมุฏฐาน” ตามที่กล่าวมาข้างต้น จึงวิเคราะห์การใช้น้ำกระสายในช่วงเวลาต่างๆ ดังนี้
๑.น้ำร้อน จะทำให้ตัวยาที่รสร้อนมีความร้อนแรงแข็งกล้าที่สุด และเป็นตัวทำละลายที่ก่อให้เกิดกลิ่นยาฟุ้งลอยขึ้นมาอย่างเด่นชัดที่สุด จึงมีข้อน่าสังเกตุว่าตำรับยานี้จึงกล่าวถึงนำ้ร้อนซ้ำถึง “๒ ครั้ง” ทั้งตอนต้นและตอนท้ายในส่วนของน้ำกระสาย อาจมีความหมายว่าการเลือกน้ำกระสายที่อุณหภูมิร้อนเหมาะที่สุดในตำรับยานี้ และกำชับว่ารสยาหลักของตำรับยานี้ต้องออกไปทางร้อน
เมื่อพิจารณาที่รสยาออกขมและร้อน เมื่อผสมน้ำร้อนเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการแก้โรคทางลม คือช่วงเวลานับตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆจนถึงเย็นคือ ๑๕.๐๐ น. ถึง ๑๘.๐๐ น. ในเวลากลางวัน หรือเวลา ๐๓.๐๐ น.ถึง ๐๖.๐๐ น.ในเวลากลางคืนถึงเช้า ซึ่งเป็นเวลาแก้โรคทางวาตะ (ธาตุลม) ในกาล ๓ และสมุฏฐานวาโย (ธาตุลม) พิกัดธาตุวาตะ กาล ๔ จึงเหมาะกับผู้สูงวัย และจะยิ่งมีความเหมาะมากขึ้นไปอีกในช่วงฤดูฝน
๒.น้ำส้ม และ๓.น้ำส้มซ่า หากจะวิเคราะห์น้ำกระสาย ๒ ชนิดนี้ก่อนถูกย่อยจะมีสภาพเป็นกรดจึงเหมาะสำหรับสมุน ไพรที่มีสารสำคัญที่ละลายได้ในกรด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยาลม ๓๐๐ จำพวกนี้ มีสมุนไพรหลายชนิดที่มีองค์ประกอบของสารอัลคาลอยด์ซึ่งพบมากในสมุนไพร“รสขม”ในตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก จึงทำปฏิกิริยากับกรดในน้ำกระสายยาได้เป็นเกลือ
การบีบหรือคั้นน้ำจากผลแก่จัดของ“น้ำส้ม” และ“น้ำส้มซ่า”มีรสเปรี้ยวอมหวาน จึงมีสรรพคุณกัดฟอกเสมหะ แก้ไอ เป็นยาฟอกโลหิต[๖] ส่วนสมุนไพรที่มีการทำปฏิกิริยากับอัลคาลอยด์ก็ได้เป็นเกลือ ส่วนที่เป็นรสเค็มจากเกลือหลังทำปฏิกิริยานั้นจะเสริมทำหน้าที่ถอนพิษ ช่วยระบาย กระตุ้นขับถ่าย ชำระร่างกาย บำรุงธาตุไฟ ช่วยเจริญอาหาร เนื้อเยื่ออ่อนนุ่มและผ่อนคลาย การผสมน้ำส้ม น้ำส้มซ่า หรือแม้แต่มะนาวย่อมทุเลารสขมจากอัลคาลอยด์ให้บรรเทาลงมาบางส่วน แต่ก็อาจจะทำให้มีการถ่ายระบายมากขึ้นด้วยเช่นกัน
สำหรับน้ำกระสายรสเปรี้ยวหรืออาจจะเค็มขึ้นตามรสยาที่ใช้น้ำส้ม หรือน้ำส้มซ่าทำปฏิกิริยากับสารอัลคาลอยด์นั้น จึงเหมาะที่สุดสำหรับการเสริมฤทธิ์ในการแก้โรคทาง “เสมหะ” คือช่วงเวลาเช้าตั้งแต่ ๐๖.๐๐ น. ถึง ๙.๐๐ น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาแก้โรคทางเสมหะ หรือไม่ก็ตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ น. ถึง ๒๑.๐๐ น. ในช่วงหัวค่ำ และจะเสริมฤทธิ์ได้ดีในช่วงฤดูหนาว
หรือหากใครจะทดลองประยุกต์ใช้รสเปรี้ยวจากมะนาวและผสมเกลือไปบางส่วนก็อาจจะได้ความชัดเจนของน้ำกระสายยารสเปรี้ยวเพื่อบรรเทารสขมลงไปได้เพิ่มขึ้นอีก
๔.น้ำผึ้ง ใช้เป็นทั้งอาหารและยา ใช้เป็นน้ำกระสายยา โดยจัดเป็นน้ำกระ สายยาที่ใช้มากที่สุดในตำราพระโอสถพระนารายณ์ โดยน้ำผึ้งสามารถใช้ผสมผงยาเพื่อปั้นเป็นยาลูกกลอนได้ และน้ำผึ้งยังสามารถนำมากินเป็นยาบำบัดโรค มีสรรพคุณบำรุงกำลัง แก้สะอึก แก้ไข้ตรีโทษ มีลักษณะเจริญรสธาตุและเป็นยาอายุวัฒนะ น้ำผึ้งอยู่ในกลุ่ม“รสหวาน” นำนั้นประกอบด้วย ธาตุดินและธาตุน้ำอันจะเป็นเหตุให้ความร้อนของยาลม ๓๐๐ จำพวกหย่อนลงบางส่วน และไปในทางบำรุงมากขึ้น
ในตำราเภสัชกรรมไทย ของโรงเรียนอายุรเวท (ชีวโกมารภัจจ์) มูลนิธิส่งเสริมการแพทย์แผนไทยเดิมฯ ระบุเอาไว้ว่า “นำ้ผึ้ง” จัดอยู่ในกลุ่มรส“หวาน ร้อน ฝาด”[๗] มีสรรพคุณ ผายธาตุ แก้ผอมแห้ง
สำหรับการใช้ “น้ำผึ้ง” เป็นน้ำกระสายนั้นเนื่องจากมีรส “หวาน ร้อน ฝาด” สามารถนำมาผสมเพื่อลดความร้อนจากการใช้น้ำร้อนลงในเวลา ๑๕.๐๐ น.-๑๘.๐๐ น.ในเวลากลางวันช่วงเย็น หรือ หรือเวลา ๐๓.๐๐ น.ถึง ๐๖.๐๐ น.ในเวลากลางคืน
หรือหากจะผสม “น้ำผึ้ง” ไปกับความเปรี้ยวของน้ำส้ม หรือน้ำส้มซ่า และน้ำมะนาวในเวลาบ่ายแก่ๆจนถึงเย็นคือ ๑๕.๐๐ น. ถึง ๑๘.๐๐ น. ในเวลากลางวัน หรือเวลา ๐๓.๐๐ น.ถึง ๐๖.๐๐ น.ในเวลากลางคืนถึงเช้า
แต่ด้วยรสหวานที่ประกอบไปด้วยธาตุดินและธาตุน้ำ แต่ยังมีการให้พลังงานที่เป็นความร้อนอยู่ ดังนั้นน้ำผึ้งจึงมีลักษณะการบรรเทาธาตุไฟลงทั้งความเผ็ดร้อนและเปรี้ยว ซึ่งจะช่วยบรรเทาความร้อนสำหรับคนที่ผอมแห้งเกินและยังไม่สามารถรับความร้อนจากตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวกนี้ได้
จึงสรุปความได้ว่าสำหรับการเลือกน้ำกระสาย ให้ดูความเหมาะสมของแต่ละคนดังนี้
ประการแรก คนที่อายุมาก มีลมในระบบทางเดินอาหารมาก มีลมในเส้นมาก ลำไส้ไม่เคลื่อนตัว ย่อยอาหารไม่ดี และมีภาวะเย็นเกิน พลังงานน้อย เลือดลมไหลเวียนไม่ดี ให้เลือกใช้ “น้ำร้อน” เป็นน้ำกระสาย ดื่มเวลา ๑๕.๐๐ น.-๑๘.๐๐ น.ในเวลาช่วงบ่ายถึงเย็น หรือ เวลา ๐๓.๐๐ น.ถึง ๐๖.๐๐ น.ในเวลากลางคืนก่อนรุ่งเช้า
ประการที่สองคนที่ทนความขมไม่ได้ หรือมีเสมหะมากสามารถใช้น้ำส้ม น้ำส้มซ่า น้ำมะนาว แต่จะต้องตระหนักว่าอาจทำให้ระบายขับถ่ายมากขึ้น (ซึ่งอาจจะเหมาะกับคนที่ยังไม่ถ่ายเมื่อกินยาลม ๓๐๐ จำพวก) โดยดื่มเวลาเช้า ๐๙.๐๐ น. ถึง ๑๒.๐๐ น. เป็นกาลกลางวัน หรือนับตั้งแต่หัวค่ำถึงกลางคืนเวลาตั้งแต่ ๑๘.๐๐ น. ถึง ๒๑.๐๐ น.
ประการที่สาม คนที่รู้สึกว่าต้องการลดธาตุไฟที่ให้ความร้อนของตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวกลง มีภาวะผอมแห้ง และต้องการบำรุง ก็สามารถใช้ “น้ำผึ้ง”เป็นน้ำกระสายยาเสริมได้ทั้ง ๒ ช่วงเวลาในประการแรก และประการที่สอง
โดยสำหรับบางคนที่ตีความว่าตำรับยานี้ต้องการใช้น้ำกระสายทุกอย่างรวมกัน ทั้งน้ำร้อน น้ำส้ม น้ำส้มซ่า และน้ำผึ้ง (ผสมน้ำร้อนไปก่อนเพื่อดมกลิ่น แล้วเมื่ออุ่นแล้วจึงผสมน้ำส้ม น้ำส้มซ่า และน้ำผึ้ง) ก็สามารถทดลองได้ใน ๒ ช่วงเวลา คือเวลา ๖.๐๐ น. หรือ ๑๘.๐๐ น. อันเป็นเวลาคาบเกี่ยวกันพอดีของพิกัดวาตะ (ลม) และพิกัด (เสมหะ)
สำหรับผู้ที่รับประทานยาลม ๓๐๐ จำพวกได้สะดวกนั้นและรับประทานต่อเนื่องได้ครบ ๙ เดือนโดยไม่เว้นแม้แต่วันเดียว ก็ถือว่าเป็นผู้โชคดีมีบุญ เพราะได้มีโอกาสได้รับประทานตำรับยาหนึ่ง ที่ทรงคุณค่าในประวัติศาสตร์และสรรพคุณยาในตำรับยาแผนไทยของชาติที่เป็นตำรับยาสุดท้าย ในพระคัมภีร์สุดท้าย ของตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ สมัยรัชกาลที่ ๕
ส่วนใครที่ยังรับประทานยาได้ด้วยความยากลำบากแล้ว นอกจากการเลือกใช้ “น้ำกระสายยา” ที่เหมาะกับตัวเองแล้ว ผู้เขียนมีข้อเสนอเทคนิคที่รวบรวมมาจากนักดื่มยาลม ๓๐๐ จำพวกดังนี้
เทคนิคที่ ๑ ดมก่อน ทิ้งไว้จากร้อนให้พออุ่นและดื่มให้เร็ว
เทคนิคนี้พิจารณาจากการย้ำเรื่อง “การใช้น้ำร้อน”เป็นน้ำกระสายยาถึง ๒ ครั้ง ย่อมแสดงให้เห็นว่าตำรับยานี้ต้องการตัวทำละลายจาก “น้ำร้อน” ที่ทำให้เกิดกลิ่นลอยขึ้นมาเพื่อให้ได้รับระบบสัมผัสทางกลิ่น ในช่วงเวลานี้จึงควรสูดดมกลิ่นจากสมุนไพรอย่างเต็มที่ ถ้าดื่มขณะยังร้อนจัดอาจต้องใช้การจิบ ซึ่งต้องใช้เวลานานในการสัมผัสรสขมและร้อน หากความร้อนลดลงพออุ่นแล้ว ให้ดื่มรวดเดียวเข้าไป ก็จะทำให้ได้สัมผัสรสขมและร้อนลดน้อยลง และหากยังรสขมและร้อนติดอยู่ในดื่มน้ำตามลงไปในภายหลัง
เทคนิคที่ ๒ ผสมน้ำให้มากเพื่อเจือจาง ผสมน้ำน้อยให้ดื่มเวลาน้อยที่สุด
เทคนิคนี้สำหรับเปิดทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่สามารถรับได้กับความแรงของรสยา จึงมี ๒ ทางเลือกคือ ทางเลือกแรกผสมน้ำให้น้อยที่สุดเพื่อย่นระยะเวลาการดื่มให้สั้นที่สุด แต่ข้อเสียคือรสยาก็จะแรงมากที่สุด ในทางตรงกันข้ามการผสมน้ำมากก็ย่อมทำให้รสยามีความเจือจางลงไปแต่ก็จะใช้ระยะเวลาการดื่มนานขึ้น แต่สำหรับบางคนที่ผสมน้ำน้อยมากอาจทำให้รสยามีความร้อนแรงเกินไป ก็ควรจะดื่มน้ำตามลงไปหลังจากนั้นให้มากขึ้น
เทคนิกที่ ๓ ผสมน้ำร้อนเพื่อดมกลิ่น แล้วผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน
เทคนิคนี้สำหรับผู้ที่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถดื่มตามที่ระบุเอาไว้ตามคัมภีร์ได้ จึงใช้วิธีผสมน้ำร้อนเป็นตัวทำละลายเพียงเล็กน้อยให้พอชื้นเสียก่อน เพื่อให้กลิ่นลอยขึ้นมาตามวัตถุประสงค์
เมื่อได้กลิ่นตามวัตถุประสงค์ของน้ำร้อนแล้ว จึงนำน้ำผึ้งมาผสมสำหรับการปั้นเป็นลูกกลอน (ต้องล้างมือให้สะอาดก่อน)แล้วทำการกลืนเหมือนกินยาแคปซูลลงไปพร้อมดื่มน้ำอุ่นตามให้มากๆ ข้อเสียของวิธีนี้คืออาจมีความเลอะเทอะเปรอะเปื้อน แต่เป็นข้อดีสำหรับบางคืนคือการรับรู้รสยาให้น้อยที่สุดกว่าทุกวิธี แต่ย้ำว่าวิธีการนี้ไม่ตรงตามคัมภีร์นัก แต่ก็น่าจะบรรเทาให้หลายคนสามารถรับประทานยาได้มากขึ้น
ตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นการบริหารจัดการรับมือกับ “รสยา” ขมและร้อนของยาลม ๓๐๐ จำพวก เพื่อให้ผู้ที่รับประทานยาลม ๓๐๐ จำพวก สามารถเลือกหนทางที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคนเพื่อให้ฝ่าด่านเรื่องรสยาให้สามารถรับประทานได้ต่อเนื่องเป็นเวลา ๙ เดือนโดยไม่เว้นเลยแม้แต่วันเดียว
ส่วนอาการและความเป็นไปของแต่ละคนที่อาจจะไม่เหมือนกันที่จะต้องฝ่าฟันไปให้ได้ ๙ เดือนนั้น ก็ยังเป็นปริศนาที่จะกล่าวถึงต่อไป ด้วยเพราะตำรับยาสำคัญนี้ ไม่เพียง คนจะเป็นฝ่ายเลือกรับประทานยาเท่านั้น แต่ตำรับยานี้จะเลือกคนที่จะรับประทานยาเช่นกัน
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต
อ้างอิง
[๑] ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, “ยาลม ๓๐๐ จำพวก” ยาอายุวัฒนะ ในตำรายาหลวงสมัยรัชกาลที่ ๕ ต้านอนุมูลอิสระระดับโลก (ตอนที่ ๖) :เปิดงานวิจัยเครื่องยา ภาค ๒ : บำรุงสมอง ถ่ายระบายพิษและเสมหะ, แฟนเพจ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ และ เว็บไซต์ MGR Online วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
https://www.facebook.com/123613731031938/posts/4973604716032791/
https://mgronline.com/daily/detail/9650000011644
[๒] ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การประกาศกําหนดตําราการแพทย์แผนไทยของชาติและตํารับยาแผนไทยของชาติ (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๖๐, วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เล่ม ๑๓๔ ตอนพิเศษ ๒๗๑ ง หน้า ๙
https://www.dtam.moph.go.th/images/document/law/National_Texts_2560-13.PDF
[๓] สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรม หายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ : ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, ๑,๐๒๕ หน้า องค์การค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๔, จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม, ISBN: ๙๗๘-๙๗๔-๐๑-๙๗๔๒-๓, หน้า ๗๕๐-๗๕๑
[๔] เรื่องเดียวกัน, หน้าปก
[๕] โรงเรียนอายุรเวท (ชีวกโกมารภัจจ์), ตำราเภสัชกรรมไทย, พิมพ์ครั้งที่ ๒, โดยมูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์แผนไทยเดิม, พิมพ์ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๙, ๒๖๔ หน้า, จำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม หน้า ๘๔-๘๕
[๖] เรื่องเดียวกัน, หน้า ๘๑
[๗] เรื่องเดียวกัน, หน้า ๗๓