xs
xsm
sm
md
lg

“ยาลม ๓๐๐ จำพวก” ยาอายุวัฒนะ ในตำรายาหลวงสมัยรัชกาลที่ ๕ ต้านอนุมูลอิสระระดับโลก (ตอนที่ ๖) : เปิดงานวิจัยเครื่องยา ภาค ๒ : บำรุงสมอง ถ่ายระบายพิษ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์


ใบสะเดา, ลูกกระดอม, พริกไทย และดีปลี เป็นทั้งยาหลักและยารอง โดยสมุนไพร ๔ ชนิดนี้ มีนำ้หนักรวมกันถึงครึ่งหนึ่งในตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก ซึ่งนอกจากจะมีรสขม แก้พิษโลหิต บำรุงน้ำดี ช่วยย่อยไขมันแล้ว ยังมีรสเผ็ดร้อนที่ช่วยขับลมในทางเดินอาหาร ขับลมในเส้น แก้กษัยเส้น และช่วยการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารอีกด้วย [๑]

โดยเฉพาะหากจะพิจารณาจากสารพิเพอรีน (Pipperine) เป็นแอลคาลอยด์ในกลุ่มพิเพอริดีน พบมากใน“เมล็ดพริกไทย” และ“ดีปลี” ซึ่งอยู่ในวงศ์ Piperaceae สารพิเพอรีน เป็นสารที่ให้รสร้อน ออกฤทธิ์กระตุ้นต่อมรับรส ทำให้กรดในกระเพาะถูกหลั่งขึ้นมา มีฤทธิ์ในการขับเหงื่อ ปัสสาวะ

โดยเมล็ดพริกไทยดำและดีปลี ซึ่ง สมุนไพรทั้ง ๒ ชนิดนี้มีน้ำหนักรวมกันอยู่ประมาณร้อยละ ๑๗.๗๒๖ ในตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก โดยสารพิเพอรีนนี้นิยมใช้เพิ่มความทรงจำในการเรียนรู้ด้วย

โดยตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวกนี้ได้ซ่อน“ปริศนา”เกี่ยวกับการพัฒนา “ความจำ ความคิด สติปัญญา” โดยรสเผ็ดร้อนมีผลต่อธาตุลมที่เกี่ยวเนื่องกับความคิดในการรับประทานต่อเนื่องนานๆ ระหว่าง ๑ เดือนถึง ๗ เดือน ดังข้อความว่า

“… ถ้ารับประทานถึงเดือน ๑ เรียนพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ จบ คาถาปัญญาสว่าง ปราศจากพยาธิ ๕๐๐ จำพวกก็หายสิ้นแล ถ้ารับประทานถึง ๖ เดือน จักษุสว่างทั้ง ๒ ข้าง รับประทานถึง ๗ เดือน รู้กำเนิดเทวดาในชั้นฟ้า…” [๒]

ต่อมาได้ปรากฏมีความชัดเจนในเรื่องกลไกที่เกิดขึ้นเมื่อคณะวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ และจากคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้วิจัยทดลองให้พิเพอรีนทางช่องท้องหนูขาว ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารทางเภสัชวิทยาของไทยชื่อ Thai Journal of Pharmacology เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๘ จึงพบว่า

“ผลของพิเพอรีนในเพิ่มการ เรียนรู้และความจําในหนูขาวเล็กอาจเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของตัวรับนิโคตินิกอะเซติลโคลีนในสมอง และพิเพอรีนอาจมีประโยชน์ในการพัฒนาเป็นยาเพิ่มการเรียนรู้และความจําในผู้ป่วยที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ต่อไป” [๓]

ทั้งนี้ การเรียนรู้ ความคิด ความรู้สึก จิตใจ ความเข้าใจ การรับความรู้สึกสัมผัสทั้ง ๕ รวมถึงอารมณ์ นั้นต้องอาศัยธาตุลม หรือ พิกัดวาตะทั้งสิ้น [๔]

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ ๕ ได้กล่าวความสำคัญของพริกไทยที่มีความสำคัญต่อการแก้ปัญหาพิกัดธาตุลมยิ่งกว่าสิ่งใด ด้วยข้อความว่า

“เหตุว่าพริกไทยนั้น แก้ในกองลมสรรพคุณ สิ่งอื่นที่จะแก้ลมยิ่งกว่าพริกไทยนั้นหามิได้”[๕]

แม้คนโบราณในอดีตอาจจะไม่ได้เห็นโครงสร้างเคมี จึงไม่สามารถมองเห็นสารพิเพอรีนที่จะช่วยการเพิ่มการเรียนรู้และความจำต่อสมองได้

แต่คนโบราณในอดีตมีความเข้าใจเรื่องของ“รสยา” และ“สรรพคุณเภสัช”ที่ได้สั่งสมประสบการณ์มาอย่างยาวนานจากรุ่นสู่รุ่น รวบรวมและบันทึกเอาไว้ จึงสามารถระบุได้ว่าไม่มีสิ่งใดจะมีการแก้ทางลมได้ยิ่งกว่าพริกไทย

ด้วยเพราะการค้นพบต่อๆกันมาจึงได้พบว่า สารพิเพอรีน มีในพริกไทยดำประมาณร้อยละ ๙ ของน้ำหนัก และมีพิเพอรีนอยู่ในดีปลีประมาณร้อยละ ๔-๕ ของน้ำหนัก ดังนั้นจึงเป็นคำอธิบายได้ว่าเหตุใดจึงไม่มีสิ่งอื่นที่จะแก้ลมได้ยิ่งกว่าพริกไทย ที่ภูมิปัญญาของการแพทย์แผนไทยได้บันทึกเอาไว้นั้นจึงมีความถูกต้องแล้ว [๖]

โดยเฉพาะหากจะดูเฉพาะสรรพคุณของพริกไทยทั้งในมิติในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มชีวปริมาณการออกฤทธิ์ (Bioavailability) ของโภชนาการและยาอื่นๆ ยับยั้งการกลายพันธุ์ของรหัสพันธุกรรม ช่วยลดน้ำตาลในกระแสเลือด ลดการอักเสบ ต้านจุลชีพก่อโรคหลายชนิด ช่วยปกป้องหรือบำรุงสมองและระบบประสาท ผู้สูงวัยจึงควรรับประทานพริกไทยหรือดีปลีเป็นประจำ [๖]

ซึ่งในความเป็นจริงคงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายหากจะรับประทานอาหารที่มีพริกไทยหรือดีปลีรวมกันมากถึงร้อยละ ๑๗.๗๒๖ จริงหรือไม่ ดังนั้นการรับประทานผ่านตำรับยาดูน่าจะเป็นไปได้ในการรับประทานเพื่อหวังสรรพคุณและถ่วงดุลผลเสียต่างๆที่อาจเกิดขึ้น ดีกว่าการรับประทานแต่สมุนไพรเดี่ยวเพียงตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้น

อย่างไรก็ตามการรับประทานพิเพอรีน ซึ่งมีอยู่ในพริกไทยร้อยละ ๙ หรือในดีปลีร้อยละ ๔-๕ ผ่านการรับประทานยาลม ๓๐๐ จำพวก ซึ่งมีพริกไทยและดีปลีอย่างละประมาณร้อยละ ๘.๘๖๓ รวมกันทั้งสิ้นร้อยละ ๑๗.๗๒๖ ย่อมหมายความว่าการบริโภคยาลม ๓๐๐​ จำพวกนี้ มีสารพิเพอรีนผ่านพริกไทยและดีปลีรวมกันประมาณร้อยละ ๑.๒๔ ของน้ำหนักยาทั้งหมดเท่านั้น

การบริโภคสารพิเพอรีนร้อยละ ๑.๒๔ ผ่านสมุนไพรทั้งพริกไทยและดีปลีในปริมาณดังกล่าวนี้ย่อมไม่เกิดความเป็นพิษและมีความปลอดภัยอย่างแน่นอน [๖]

แต่ในขณะอีกด้านหนึ่งตำรับยานี้ระบุว่าต้องใช้เวลาในการบริโภคสะสมต่อเนื่องระหว่าง ๑ เดือนขึ้นไป จนถึง ๗ เดือน ซึ่งจะมีสรรพคุณต่อเรื่องสมอง การเรียนรู้ ความคิด ความรู้สึก จิตใจ และความเข้าใจได้ โดยเฉพาะภายหลังจากการทุเลาปัญหาโรคทางเสมหะในช่วงแรกก่อน ๑ เดือนไปแล้ว

อย่างไรก็ตามในตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวกนั้น ยังมีกลุ่มตำรับยาที่มีความสำคัญในฐานะเป็น“ยาระบาย” หรือ“ยาถ่ายชำระเสมหะ”อีกด้วย ซึ่งเป็นกลไกออกฤทธิ์มากเป็นพิเศษในช่วง ๑ เดือนแรก

โดยสมุนไพรที่เป็นยาช่วยระบายเสมหะหรือยาช่วยให้ขับถ่ายของเสียในร่างกาย มีที่สำคัญ ๓ ชนิด ได้แก่“ยาดำ” มีน้ำหนักร้อยละ ๕.๙๑๓ ของตำรับยา,“รากตองแตก”มีน้ำหนักร้อยละ ๕.๙๑๓ ของตำรับยา,“เกลือสินเธาว์” มีน้ำหนักร้อยละ ๒.๕ น้ำหนักของตำรับยา รวมกลุ่มสมุนไพรที่ออกฤทธิ์เป็นยาระบายรวมทั้งสิ้นร้อยละ ๑๔.๓๒๖ [๒]

“ยาดำ”มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aloe Vera (L.) Burm. มีน้ำหนักร้อยละ ๕.๙๑๓ ของตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก ได้มาจากการตัดใบว่านหางจระเข้บริเวณส่วนโคนใบที่อยู่ใกล้กับผิวดิน จะมีน้ำยางสีเหลืองที่อยู่ระหว่างผิวนอกของใบกับวุ้น ไหลออกมา รวบรวมน้ำยางสีเหลืองใส่ภาชนะ นำน้ำยางสีเหลืองที่รวบรวมได้ไปเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ จนข้นเหนียว แล้วผึ่งแดดให้แห้ง จะแข็งกลายเป็นก้อนสีดำ [๗]

จากฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งได้รวบรวมเอาไว้ระบุสรรพคุณ“ยาดำ” ว่า แก้โรคท้องผูก โดยกระตุ้นลำไส้และทางเดินอาหารให้บีบตัว ใช้เป็นยาแทรกในยาระบายหลายตำรับ จนกระทั่งมีคำพังเพยว่า“แทรกเป็นยาดำ”หมายถึงแทรกหรือปนอยู่ทั่วไป เป็นยาถ่าย [๗]

ทั้งนี้ในตำราเภสัชกรรมไทย ของโรงเรียนอายุรเวท (ชีวกโกมารภัจจ์) โดยมูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์แผนไทยเดิมฯ ระบุว่า “ยาดำ” มีสรรพคุณถ่ายลมเบื้องสูงลงสู่เบื้องต่ำ กัดฟอกเสมหะและโลหิต ทำลายพรรดึก เป็นยาระบาย [๘]

อย่างไรก็ตาม“ยาดำ”มีสรรพคุณ ถ่ายพิษไข้ ถ่ายพยาธิตัวตืด ไส้เดือน ขับน้ำดี มีฤทธิ์ไซ้ท้อง [๗]

และในกรณีใช้“ยาดำ”เป็นยาถ่ายนั้น ให้ใช้ยาดำขนาด ๐.๒๕ กรัม หรือ ๒๕๐ มิลลิกรัม [๗] ซึ่งยาดำทำให้เกิดอาการไซ้ท้องได้ เพราะยาจะบีบลำไส้อย่างมาก

อย่างไรก็ตามตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวกในการรับประทานเพียง ๑ หน่วยบริโภค (ซอง) มีน้ำหนักยาดำขนาดประมาณไม่เกิน ๒๐๗ มิลลิกรัมต่อครั้งต่อวัน ซึ่งน้อยกว่า ๒๕๐ มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค

รากตองแตก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Baliospermum solanifolium (Burm.) Suresh เว็บไซต์ ของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข เผยแพร่เอาไว้ว่า

“รากตองแตก”มีรสจืด สรรพคุณ ถ่ายพิษพรรดึก ถ่ายลมเป็นพิษ ถ่ายเสมหะเป็นพิษ ถ่ายแก้นำดีซ่าน ถ่ายพยาธิ ขับปัสสาวะ แก้ปวดบวม และแก้ม้ามอักเสบ เป็นต้น [๙]

เกลือสินเธาว์ ในตำราเภสัชกรรมไทย ของโรงเรียนอายุรเวท (ชีวกโกมารภัจจ์) โดยมูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์แผนไทยเดิมฯ ระบุว่า เกลือสินเธาว์ มี รสเค็มจัด แก้ท้องผูก (ขับเมือกมันในลำไส้)[๑๐] ทำลายพรรคดึก แก้ระส่ำระสาย แก้สมุฏฐานตรีโทษ แก้นิ่ว [๑๑]

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตำรับยาในส่วนของยาถ่ายระบายพิษ ทั้งยาดำ รากตองแตก และเกลือสินเธาว์ ออกฤทธิ์ทำงานร่วมกันมีน้ำหนักยารวมกันร้อยละ ๑๔.๓๒๖ นั้นทำให้ยาลม ๓๐๐ จำพวก นอกจากจะต้านอนุมูลอิสระ แก้พิษในโลหิต บำรุงน้ำดี ขับลม ขับลมในเส้น ช่วยย่อยอาหาร และบำรุงธาตุแล้ว ยังเสริมฤทธิ์ในการขับถ่ายของเสียมาพร้อมกับการขับลมในทางเดินอาหารอีกด้วย
ด้านหนึ่งจึงเป็นการแก้พิษในโลหิต ช่วยบำรุงน้ำดี และการย่อยอาหาร ด้านหนึ่งก็เคลื่อนตัวของระบบทางเดินอาหาร ขับลมในทางเดินอาหารและขับลมในเส้น ในขณะเดียวกันก็ขับถ่ายระบายพิษออกจากร่างกายอีกด้วย

ดังนั้นสำหรับคนถ่ายท้องมาก ก็ควรดื่มน้ำเกลือแร่ตามเพื่อมิให้สูญเสียแร่ธาตุ หรือบางคน“ธาตุเบาขับถ่ายง่าย” หรือขับถ่ายมากเกินไปก็สามารถลดปริมาณลงให้สอดคล้องกับตัวเอง แต่ถ้าใครสามารถประคองการขับถ่ายและปรับตัวในช่วงแรกไปได้ ก็จะทำให้สบายตัว โล่งและเบาตัวขึ้นหลังจากนั้น


อย่างไรก็ตามส่วนยาประกอบอื่นๆ ก็จะไปในทิศทางเดียวกันกับยาที่กล่าวมาข้างต้นดังนี้

มหาหิงคุ์ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ferula assafoetida L. รสขมร้อน มีน้ำหนักยาร้อยละ ๕.๙๑๓ ในตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก

มหาหิงคุ์มีสรรพคุณ แก้ลมเสียดแทงปวดท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับผายลม ชำระเสมหะและลม [๑๒] ช่วยลดอาการปวดเกร็งในช่องท้อง (antispasmodic), ขับลม (carminative), ช่วยย่อย (digestive), ระบาย (laxative) และมีฤทธิ์ถ่ายพยาธิบางชนิด (anthelmintic) [๑๓]

ส่วนประโยชน์อื่นๆ ของมหาหิงคุ์ ก็ได้แก่ ขับเสมหะ (expectorant), ช่วยกล่อมประสาท ทำให้นอนหลับดี (sedative), แก้ปวดอย่างอ่อน (analgesic), และฆ่าเชื้อเฉพาะที่ (antiseptic) [๑๓]

หัสดำเทศ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cyathea podophylla (Hook.) Copel รสเย็น มีน้ำหนักยาร้อยละ ๕.๙๑๓ ในตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก

หัสดำเทศ แก้ไข้พิษ ไข้กาฬ ไข้ที่มีแว่นวงสีม่วงดำแดงผุดตามผิวหนัง แก้อาการร้อนระส่ำระสาย ดับพิษร้อน แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้กาฬพิษในกระดูก [๑๔]

เจตมูลเพลิงมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Plumbago indica L. รสร้อน มีน้ำหนักยาร้อยละ ๒.๙๕ ในตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก
รากเจตมูลเพลิง มีสรรพคุณบำรุงธาตุ บำรุงโลหิต ขับลมในไส้ และในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดความร้อน รับประทานมากอาจทำให้แท้งได้ [๑๕] มีฤทธิ์ในการยับยั้งแบคทีเรียและเชื้อรา [๑๖],[๑๗] ออกฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย [๑๘] ต้านการอักเสบ [๑๙] มีสารสกัดออกฤทธิ์ฆ่าพยาธิใบในกระเพาะ [๒๐] ออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ [๒๑]

การบูร มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cinnamomum com-Horace (L.) J. Presl รสร้อนปร่าเมา มีนำ้หนักยาร้อยละ ๒.๙๕ ในตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก

การบูร มีสรรพคุณ ย่อยอาหารให้พลันแหลก แก้โรคตา แก้ริดสีดวง กระทำให้รู้จักรสอาหาร แก้จุกเสียด แก้หืดไอ[๒๒] เป้นยาระงับเชื้ออย่างอ่อน ขับเหงื่อ ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ แก้ไข้หวัด และขับลม บำรุงธาตุ บำรุงกำหนัด ยากระตุ้นหัวใจ บำรุงหัวใจ [๒๓] ออกฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย[๒๔] และออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ[๒๕]

บอระเพ็ด มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Tinospora crispa (L.) Miers ex Hook.f. & Thomso รสขม มีน้ำหนักยาร้อยละ ๒.๙๕ ในตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก

บอระเพ็ด มีสรรพคุณ แก้ไข้เหนือ ไข้พิษ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ทำให้เนื้อเย็น ระงับความร้อน แก้โลหิตพิการ บำรุงน้ำดี เจริญอาหาร[๒๖]

บอระเพ็ด แก้ไข้ทุกชนิด แก้พิษฝีดาษ เป็นยาขมเจริญอาหาร ต้มดื่มเพื่อให้เจริญอาหาร ช่วยย่อย บำรุงน้ำดี บำรุงไฟธาตุ แก้โรคกระเพาะอาหาร บำรุงร่างกาย แก้สะอึก แก้มาลาเรีย เป็นยาขับเหงื่อ ดับกระหาย แก้ร้อนใน ลดน้ำตาลในเลือด ขับพยาธิ แก้อหิวาตกโรค แก้ท้องเสีย ไข้จับสั่น ระงับความร้อน ทำให้เนื้อเย็น ทำให้เลือดเย็น แก้โลหิตพิการ [๒๗]

นอกจากนั้นผลการศึกษาทางเภสัชวิทยาพบว่า บอระเพ็ด ออกฤทธิ์ กระตุ้นการเต้นของหัวใจ ลดไข้ ต้านการอักเสบ ลดน้ำตาลในเลือด ต้านมาลาเรีย ฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่น ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย [๒๗]

ลูกกระวาน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amomum krervanh Pierre ex Gagne รสเผ็ดร้อนหอม มีน้ำหนักยาร้อยละ ๒.๙๕ ในตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก

ลูกกระวาน มีสรรพคุณ ขับลม ขับเสมหะ บำรุงธาตุ [๒๘] ใช้แก้อาหารท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับลม และแก้แน่นจุกเสียด มีฤทธิ์ขับลม และบำรุงธาตุ แก้ธาตุไม่ปกติ บำรุงกำลัง ขับโลหิต แก้ลมในอกให้ปิดธาตุ แก้ลมเสมหะให้ปิดธาตุ แก้ลมในลำไส้ เจริญอาหาร รักษาโรครำมะนาด แก้ลมสันนิบาต แก้สะอึก แก้อัมพาตรักษาอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เมล็ด แก้ธาตุพิการ อุจจาระพิการ บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้ปวดท้อง ขับลม [๒๙]

นอกจากนั้นงานวิจัยยังพบว่าสารสำคัญในลูกกระวานยังมีสรรพคุณอื่นๆที่น่าสนใจ เช่น การออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อมาลาเรีย [๓๐] และยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานผิดปกติ[๓๑] เป็นต้น

กระเทียม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Allium sativum L. รสร้อน มีน้ำหนักยาร้อยละ ๒.๙๕ ในตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก
กระเทียม ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับเสมหะ ขับเหงื่อ ใช้ภายนอกแก้กลากเกลื้อน[๓๒]

หัวกระเทียม ยังแก้ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย ลดไขมัน รักษาปอด แก้ปอดพิการ แก้อุจจาระเป็นมูกเลือด บำรุงธาตุ กระจายโลหิต ขับปัสสาวะ แก้บวมพุพอง ขับพยาธิ แก้ตาปลา แก้ตาแดง น้ำตาไหล ตาฟาง รักษาโรคลักปิดลักเปิด รักษามะเร็งคุด รักษาริดสีดวง แก้ไอ คุมกำเนิด แก้สะอึก บำบัดโรคในอก แก้พรรดึก รักษาฟันเป็นรำมะนาด แก้หูอื้อ แก้อัมพาต ลมเข้าข้อ แก้อาการชักกระตุกของเด็ก พอกหัวเหน่าแก้ขัดเบา รักษาวัณโรค แก้โรคประสาท แก้หืด แก้ปวดมวนในท้อง บำรุงสุขภาพทางกามคุณ ขับโลหิตระดู บำรุงเส้นประสาท แก้ไข้ แก้ฟกช้ำ แก้ปวดกระบอกตา แก้โรคในปาก แก้หวัดคัดจมูก แก้ไข้เพื่อเสมหะ [๓๓]

นอกจากนั้นการศึกษาทางเภสัชวิทยา ยังพบว่า กระเทียม มีฤทธิ์ปกป้องตับจากสารพิษ[๓๔] ต้านการอักเสบ[๓๕],[๓๖] ต้านเชื้อแบคทีเรีย [๓๗] ต้านเชื้อจุลชีพ [๓๘] ต้านอนุมูลอิสระ [๓๗], [๓๙]-[๔๓]

ส่วนสมุนไพรที่มีน้ำหนักอย่างละร้อยละ ๑.๔๘ ของน้ำหนักยาลม ๓๐๐ จำพวก มีอีก ๓ ชนิดได้แก่ กานพลู, แห้วหมู, รากช้าพลู, โดยมีรสร้อน ไปในทางขับลมในลำไส้เป็นหลัก และรวมถึงขับเสมหะให้ตกลงทวารหนัก

ส่วนสมุนไพรที่มีน้ำหนักอย่างละร้อยละ ๐.๓๕ ของน้ำหนักยาลม ๓๐๐ จำพวก มีอีก ๓ ชนิด ได้แก่ ว่านน้ำ โกฐพุงปลา และโกฐสอ มีสรรพคุณไปในทางขับลม และ แก้การอักเสบในลำไส้ แก้เสมหะ แก้หืดไอ

จึงเห็นได้ชัดเจนว่าตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก นี้มีสรรพคุณที่หลากหลาย แต่ยังคงอยู่ในกรอบ ๕ ด้านด้วยกันคือ

ประการแรก ขับลมในทางเดินอาหาร ขับลมในเส้น

ประการที่สอง แก้พิษในโลหิต ลดน้ำตาลในกระแสเลือด ลดการติดเชื้อของจุลชีพก่อโรค บำรุงน้ำดี ช่วยย่อยอาหาร ย่อยไขมัน

ประการที่สาม ระบายถ่ายพิษและเสมหะ

ประการที่สี่ บำรุงสมอง

ประการที่ห้า เป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยเพราะต้านอนุมูลอิสระสูงติดอันดับโลก

ด้วยเหตุผลข้างต้นตำรับยานี้จึงมีความสำคัญในฐานะป็นตำรับยาแผนไทยของชาติ[๔๔] มีการใช้ประโยชน์หรือมีคุณค่าในทางการแพทย์หรือการสาธารณสุขเป็นพิเศษ [๔๕]

ด้วยความปรารถนาดี

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต


อ้างอิง
[๑] ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, “ยาลม ๓๐๐ จำพวก” ยาอายุวัฒนะ ในตำรายาหลวงสมัยรัชกาลที่ ๕ ต้านอนุมูลอิสระระดับโลก (ตอนที่ ๕) : เปิดงานวิจัยเครื่องยา ภาค ๑, แฟนเพจปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๕ และ MGR Online ๑๔ มกราคม ๒๕๖๕
https://www.facebook.com/123613731031938/posts/4885124114880852/
https://mgronline.com/daily/detail/9650000004098

[๒] สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรม หายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ : ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, ๑,๐๒๕ หน้า องค์การค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๔, จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม, ISBN: ๙๗๘-๙๗๔-๐๑-๙๗๔๒-๓, หน้า ๗๕๐-๗๕๑

[๓] Chaiwiang N, Pongpattanawut S, Khorana N, Thanoi S, Teaktong T. Role of Piperine in Cognitive Behavior and the Level of Nicotinic Receptors (nAChRs) in Mouse Brain. Thai J Pharmacol. 2016;38(2):5-16.
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/JBAP/article/view/39665/59071?fbclid=IwAR1iwRG3Cvx2yJy4gCuqgchCWLTS-IUU6Duq3bt-BVvn6TlTcl-stFmrrUc

[๔] สมศักดิ์ นวลแก้ว, เภสัชกรรมแผนไทยประยุกต์—มหาสารคาม : คณะเภสัชศาสตร์​ มหาวิทยาลัยมหาสาราม, ๒๕๖๔, ๔๖๑ หน้า, ISBN ๙๗๘-๙๗๔-๑๙-๖๐๕๖-๙ หน้า ๒๘-๒๙

[๕] พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย, ตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ ๕ เล่ม ๓ พระคัมภีร์สมุฏฐานวินิจจฉัยเล่ม ๒ จบบริบูรณ์ เลขที่ ๑๐๔๕ หน้าต้นที่ ๔๐ คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุในคณะอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔, ตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ ๕ เล่ม ๓ หน้า ๘๕

[๖] B. Chopra, A.K. Dhingra, R.P. Kapoor, D.N. Prasad, Piperine and its various physicochemical and biological aspects: a review
Open Chem J, 3 (2016), 10.2174/1874842201603010075
https://openchemistryjournal.com/VOLUME/3/PAGE/75/

[๗] สุดารัตน์ หอมหวล, ยาดำ, ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, เว็บไซต์Thaicrudedrug.com
http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewpage&pid=112

[๘] โรงเรียนอายุรเวท (ชีวกโกมารภัจจ์), ตำราเภสัชกรรมไทย พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพฯ มูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์แผนไทยเดิม, ๒๕๕๙ ISBN 978-616-92567-0-0 พิมพ์ครั้งที่ ๒ จำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม, พิมพ์ที่อุษาการพิมพ์, หน้า ๓๘

[๙] กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข, ตองแตก (ราก), เว็บไซต์ของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข
https://ittm.dtam.moph.go.th/images/knowleaga/3/47ตองแตก%20หน้า125-127.pdf

[๑๐] โรงเรียนอายุรเวท (ชีวกโกมารภัจจ์), ตำราเภสัชกรรมไทย พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพฯ มูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์แผนไทยเดิม, ๒๕๕๙ ISBN 978-616-92567-0-0 พิมพ์ครั้งที่ ๒ จำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม, พิมพ์ที่อุษาการพิมพ์, หน้า ๘๐

[๑๑] เรื่องเดียวกัน, หน้า ๕๗

[๑๒] เรื่องเดียวกัน หน้า ๓๘

[๑๓] นิศารัตน์ ศิริวัฒนเมธานนท์ ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาหิงคุ์…ยาเก่าเอามาเล่าใหม่, บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน, เว็บไซต์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/247/มหาหิงคุ์แก้เด็กปวดท้อง/

[๑๔] สุดารัตน์ หอมหวล, มหาสดำ, ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, เว็บไซต์Thaicrudedrug.com
http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewpage&pid=158

[๑๕] โรงเรียนอายุรเวท (ชีวกโกมารภัจจ์), ตำราเภสัชกรรมไทย พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพฯ มูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์แผนไทยเดิม, ๒๕๕๙ ISBN 978-616-92567-0-0 พิมพ์ครั้งที่ ๒ จำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม, พิมพ์ที่อุษาการพิมพ์, หน้า ๒๙

[๑๖] จารวี สุขประเสริฐ, สุบงกช ทรัพย์แตง. การศึกษาผลของตัวทําละลายในการสกัดสมุนไพรที่มีผลต่อการยับยั้งแบคทีเรีย. วารสารผลงานวิชาการกรมวิทยาศาสตร์บริการ. 2555;1(1):99-109.

[๑๗] Nair SV, Baranwal G, Chatterjee M, Sachu A, Vasudevan AK, Bose C, et al. Antimicrobial activity of plumbagin, a naturally occurring naphthoquinone from Plumbago rosea, against Staphylococcus aureus and Candida albicans. Int J Med Microbiol. 2016;306(4):237-248.

[๑๘] Horata N, Suttirat S, Panpanich T, Siriphor A, Navaprayoonvach B, Suwanwisolkij N, et al. In vitro antimalarial activity and cytotoxity of 20 ethanolic crude extracts from Thai herbs against Plasmodium falciparum TM267. Songklanagarind Medical Journal. 2017;35(2):109-120.

[๑๙] Raju R, Sunny A, Thomas JK, Abraham L, Thankapan TDC. Isolation, characterization and in-vitro anti-inflammatory activity of Plumbago indica L. Adv Pharmacol Toxicol. 2014;15(1):13-17.

[๒๐] นฦวรรณ เสาวคนธ์. โครงการวิจัยเรื่องการศึกษาผลของสารสกัดพลัมบาจินจากต้นเจตมูลเพลิงแดงต่อพยาธิใบไม้ในกระเพาะ Paramphistomum cervi. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี. 2554.

[๒๑] ธวัชชัย นาใจคง, อาซีด หวันยาวา, กฤตพงษ์ เก้าเอี้ยน, จตุพร คงสุขนิรันดร์, สนั่น ศุภธีรสกุล, มาลินี วงศ์นาวา และคณะ. ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและการเกิดสารประกอบเชิงซ้อนกับเหล็ก ของสมุนไพรไทยบางชนิด. วารสารวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 2557;42(1):149-158.

[๒๒] โรงเรียนอายุรเวท (ชีวกโกมารภัจจ์), ตำราเภสัชกรรมไทย พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพฯ มูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์แผนไทยเดิม, ๒๕๕๙ ISBN 978-616-92567-0-0 พิมพ์ครั้งที่ ๒ จำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม, พิมพ์ที่อุษาการพิมพ์, หน้า ๗๗

[๒๓] สุดารัตน์ หอมหวล,การบูร, ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, เว็บไซต์Thaicrudedrug.com
http://www.phargarden.com/main.php?action=viewpage&pid=12

[๒๔] Zhou H, Ren J, Li Z. Antibacterial activity and mechanism of pinoresinol from Cinnamomum camphora leaves against food-related bacteria. Food Control. 2017;79:192-199.

[๒๕] Lee HJ, Hyun E-A, Yoon WJ, Kim BH, Rhee M, Kang HK, et al. In vitro anti-inflammatory and anti-oxidative effects of Cinnamomum camphora extracts. J Ethnopharmacology. 2006;103: 208–216.

[๒๖] โรงเรียนอายุรเวท (ชีวกโกมารภัจจ์), ตำราเภสัชกรรมไทย พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพฯ มูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์แผนไทยเดิม, ๒๕๕๙ ISBN 978-616-92567-0-0 พิมพ์ครั้งที่ ๒ จำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม, พิมพ์ที่อุษาการพิมพ์, หน้า ๓๐

[๒๗] สุดารัตน์ หอมหวล,บอระเพ็ด, ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, เว็บไซต์Thaicrudedrug.com
http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewpage&pid=76

[๒๘] โรงเรียนอายุรเวท (ชีวกโกมารภัจจ์), ตำราเภสัชกรรมไทย พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพฯ มูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์แผนไทยเดิม, ๒๕๕๙ ISBN 978-616-92567-0-0 พิมพ์ครั้งที่ ๒ จำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม, พิมพ์ที่อุษาการพิมพ์, หน้า ๗๗

[๒๙] สุดารัตน์ หอมหวล,ลูกกระวาน, ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, เว็บไซต์Thaicrudedrug.com
http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewpage&pid=11

[๓๐] จงดี นิละนนท์. การค้นคว้าสารต้านมาลาเรียจากเมล็ดกระวานขาวไทย.วิทยานิพนธ์ สาขาวิชาเคมีอินทรีย์ มหาวิทยาลัยมหิดล. 1993.

[๓๑] กานต์ธีรา สิงห์คำ.การศึกษาสมุนไพรยับยั้งการทำงานของคอมพลีเมนต์. โครงการพิเศษปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต คณะเทคนิคการแพทย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.1998.

[๓๒] โรงเรียนอายุรเวท (ชีวกโกมารภัจจ์), ตำราเภสัชกรรมไทย พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพฯ มูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์แผนไทยเดิม, ๒๕๕๙ ISBN 978-616-92567-0-0 พิมพ์ครั้งที่ ๒ จำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม, พิมพ์ที่อุษาการพิมพ์, หน้า ๓๑

[๓๓] สุดารัตน์ หอมหวล,กระเทียม, ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, เว็บไซต์ Thaicrudedrug.com
http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewpage&pid=8

[๓๔] Lee I-C, Kim S-H, Baek H-S, Moon C, Kang S-S, Kim S-H, et al. The involvement of Nrf2 in the protective effects of diallyl disulfide on carbon tetrachloride-induced hepatic oxidative damage and inflammatory response in rats. Food and Chemical Toxicology. 2014;63:174-185.

[๓๕] Ali M. Mechanism by which Garlic (Allium sativum) Inhibits cyclooxygenase activity. Effect of raw versus boiled garlic extract on the synthesis of prostanoids. Prostaglandins Leukotrienes and Essential Fatty Acids. 1995;53:397-400.

[๓๖] MartinsN, Petropoulos S, Isabel C.F.R. Ferreira. Chemical composition and bioactive compounds of garlic (Allium sativumL.) as affected by pre- and post-harvest conditions: A review. Food Chemistry 2016;211:41-50.

[๓๗] ภรภัทร ตั้งวรกิตติ์ และรังสินี โสธรวิทย์. ปัจจัยที่มีผลต่อสมบัติการต้านอนุมูลอิสระและสมบัติการต้านเชื้อแบคทีเรียของสารสกัดจากกระเทียม.การประชุมวิชาการ ครั้งที่ 8, 2554. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตกําแพงแสน. จ.นครปฐม

[๓๘] Lawal B, Shittu OK, Oibiokpa FI, Mohammed H, Umar SI, Haruna GM. Antimicrobial evaluation, acute and sub-acute toxicity studies of Allium sativum. Journal of Acute Disease. 2016;5(4): 296–301.

[๓๙] Dillon SA, Burmi RS, Lowe GM, Billington D, Rahman K. Antioxidant properties of aged garlic extract: an in vitro study incorporating human low density lipoprotein. Life sciences. 2003;72:1583-1594.

[๔๐] สุญาณี มงคลตรีรัตน์, อรพิน เกิดชูชื่น และ ณัฎฐา เลาหกุลจิตต์.ประสิทธิภาพการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดกระเทียมและหอมหัวใหญ่ . วารสารวิทยาศาสตร์การเกษตร. 2556;44(2)(พิเศษ.):585-588.

[๔๑] Zakarova A, Seo JY, Kim HY, Kim JH,Shin J-H, Cho KM, et al. Garlic sprouting is associated with increased antioxidant activity and concomitant changes in the metabolite profile. J Agric Food Chem. 2014;62: 1875-1880.

[๔๒] Queiroz YS, Ishimoto EY, Bastos DHM, Sampaio GR, Torres EAFS. Garlic (Allium sativum L.) and ready-to-eat garlic products: In vitro antioxidant activity. Food Chemistry. 2009;115: 371–374.

[๔๓] Bozin B, Mimica-Dukic N, Samojlik I, Goran A, Igic R. Phenolics as antioxidants in garlic (Allium sativum L., Alliaceae). Food Chemistry. 2008;111: 925–929.

[๔๔] ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การประกาศกําหนดตําราการแพทย์แผนไทยของชาติและตํารับยาแผนไทยของชาติ (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๖๐, วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เล่ม ๑๓๔ ตอนพิเศษ ๒๗๑ ง หน้า ๙
https://www.dtam.moph.go.th/images/document/law/National_Texts_2560-13.PDF

[๔๕] ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒, วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๒, เล่ม ๑๑๖, ตอนที่ ๑๒๐ ก, หน้า ๔๙ - ๖๙, (หน้า ๕๔)
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2542/A/120/49.PDF


กำลังโหลดความคิดเห็น