xs
xsm
sm
md
lg

“ยาลม ๓๐๐ จำพวก” ยาอายุวัฒนะ ในตำรายาหลวงสมัยรัชกาลที่ ๕ ต้านอนุมูลอิสระระดับโลก (ตอนที่ ๕) : เปิดงานวิจัยเครื่องยา ภาค ๑ / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์


การที่ยาลม ๓๐๐ จำพวก ได้ถูกกำหนดโดยประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร)ให้เป็น“ตำรับยาแผนไทยของชาติ”ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ นั้นย่อมแสดงให้เห็นว่าเป็นตำรับยา ๑ ใน ๑๑๑ ตำรับยาที่สำคัญของพระคัมภีร์ไกษย ในตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เล่ม ๒ ร.ศ. ๑๒๖ ซึ่งเป็นตำรายาหลวง สมัยรัชกาลที่ ๕ อันประกอบด้วย ๑๐ พระคัมภีร์ รวมทั้งสิ้น ๖๗๒ ตำรับ [๑]

ทั้งนี้ สำหรับการประกาศให้ยาลม ๓๐๐ จำพวก เป็นตำรับยาแผนไทยของชาตินั้น ได้อาศัยพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ [๑] ซึ่งมีความหมายตามที่บัญญัติเอาไว้ในมาตรา ๑๗ ว่า“ตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก” นี้ เป็นตำรับยาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศด้วยเพราะ

“มีการใช้ประโยชน์หรือมีคุณค่าในทางการแพทย์หรือการสาธารณสุขเป็นพิเศษ”[๒]

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง“ยาลม ๓๐๐ จำพวก” เป็น“ตำรับยาสุดท้าย” ที่อยู่ในพระคัมภีร์ไกษยนั้นไม่เพียงแสดงถึงคุณค่าและความสำคัญในฐานะ “ตำรับยาปิดท้าย” ของพระคัมภีร์ไกษยเท่านั้น แต่ตำรับนี้มีความหมายเป็น“ยาอายุวัฒนะ” อีกด้วย [๓]

ดังนั้นนอกจากจะมีสรรพคุณในฐานเป็นตำรับยาที่ออกฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระติดอันดับโลกแล้ว[๔] ยังมีสรรพคุณในการขับลมในทางเดินอาหารและขับลมในเส้น, ขับถ่ายพิษในระบบทางเดินอาหาร และขับถ่ายระบายเสมหะ และ บำรุงธาตุ บำรุงน้ำดี ดับพิษโลหิต ช่วยย่อยอาหารพวกไขมันอีกด้วย[๕] ฯลฯ

แต่ถึงกระนั้นงานวิจัยยุคใหม่ๆที่ทำการศึกษาสารสำคัญของ“เครื่องยา” ที่มีอยู่ในตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวกนี้ ก็น่าจะทำการรวบรวมสำหรับการอ้างอิงในทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันได้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนในฐานะเป็นยาแผนไทยของชาติที่มีการใช้ประโยชน์หรือมีคุณค่าในทางการแพทย์หรือการสาธารณสุขเป็นพิเศษ โดยมีรายละเอียดดังนี้

“ใบสะเดา” (Azadirachta indica A. Juss. var. siamensis Valeton) รสขม มีสัดส่วนของน้ำหนักร้อยละ ๒๓.๖๓๘ ของตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก จึงถือได้ว่าเป็น “ตัวยาหลัก” เพราะมีน้ำหนักของตัวยามากที่สุดเป็นลำดับแรก

ทั้งนี้สะเดาได้ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์สรรพคุณเภสัช ในตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ สมัยรัชกาลที่ ๕ ระบุว่า

“สะเดา นั้นมีรสอันขมฝาดเย็น ใบ, กระทำให้ระมัดระวังในท้อง บำรุงเพลิงธาตุ,ทำให้อาหารงวดดอก, แก้พิษโลหิตอันบังเกิดแต่กำเดา แก้ริดสีดวงในลำคอให้คันดุจพยาธิ์ไต่อยู่ ผล, แก้ลมหทัยวาตแลลมสัตถกวาตแลลมอันบังเกิดแต่กองปิตตสมุฏฐาน เปลือก, แก้บิดมูกเลือด กะพี้, แก้ดีแก้บ้าอันเพ้อคลั่ง แก่น, แก้ลมอันกระทำให้คลื่นเหียนอาเจียนแลลมอันผูกกลัดทวาร ราก, แก้เสมหะอันเปนสนับ (ก้อน) อยูภายในท้อง แลแก้เสมหะอันติดอยู่ในลำคอให้ตก”[๖]

โดยนักวิจัยในห้องปฏิบัติทางการแพทย์จากประเทศซาอุดิอาระเบีย ได้เคยทบทวนและรวบรวมสรรพคุณของสะเดาจากงานวิจัยเอาไว้ในวารสารทางการแพทย์เสริมและการแพทย์ทางเลือกชื่อ Hindawi ซึ่งได้ตีพิมพ์เอาไว้เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๙ โดยสรุปความสรรพคุณของสะเดาจากงานวิจัยและทดลองมีหลายประการ[๗] ดังเช่น

“รักษาโรคเบาหวาน, แก้ไข้มาลาเรีย , ต้านแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส, ต้านการอักเสบ, ปกป้องการการทำงานของตับ, ต้านความเป็นพิษต่อไต, สมานแผล, จัดความสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน, ต้านอนุมูลอิสระ, และยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็ง” [๗]

โดยเฉพาะความสามารถในการต้านมะเร็งนั้นได้มีงานวิจัยอธิบายได้ถึงกลไลในระดับยีนที่จะช่วยทำให้เกิดการยับยั้งการทำงานของมะเร็ง เพิ่มการทำงานของยีนที่จะช่วยยับยั้งมะเร็ง เพิ่มกระบวนการทำให้เซลล์มะเร็งฝ่อตายลง หยุดยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ของเซลล์มะเร็งด้วย [๗]

นอกจากนั้นแล้วผลการรวบรวมการทดสอบทางคลินิกในมนุษย์ยังพบสรรพคุณในสารสกัดในสะเดา อีกหลายชนิดที่มีสรรพคุณที่น่าสนใจเช่น ช่วยลดภาวะกรดในกระเพาะอาหาร [๘], รักษาแผลเยื่อบุลำไส้เล็ก[๘], รักษาแผลในหลอดอาหารและแผลในกระเพาะอาหาร [๘], รักษาสะเก็ดเงิน [๙]





สรรพคุณของสะเดาตามงานวิจัยข้างต้นนี้สอดคล้องกับข้อมูลที่เคยเผยแพร่การรวบรวมข้อมูลของแนวหน้าและกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข นำเสนอโดยปรากฏในเว็บไซต์ของคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลในบทความเรื่อง “สะเดา หวานเป็นลม ขมเป็นยา” โดยได้รวบรวมสรรพคุณทางยาของเฉพาะ “ใบสะเดา” ไว้ ดังนี้
สรรพคุณทางยาของสะเดา

๑.ดีท็อกซ์สารพิษตกค้างในร่างกาย ใบสะเดาเมื่อนำมาต้มในน้ำร้อน ใช้จิบอย่างน้อยวันละครั้ง ล้างพิษในกระแสเลือด กระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น

๒.รักษาโรคผิวหนัง สารเกดูนิน (Gedunin) และ นิมโบลิดี (Nimbolide) ในใบและเมล็ดมีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา แบคทีเรียและเชื้อไวรัสสูง ไม่ว่าจะเป็นเชื้อราตามเท้า เล็บมือ เล็บเท้า กลาก-เกลื้อน หิด เริม แผลจากโรคสะเก็ดเงิน (เชื้อแบคทีเรีย) หัด ลมพิษ ผดผื่นคัน หูด และอีสุกอีใส

๓.แก้ไข้มาเลเรีย สารเคมีกลุ่มลิโมนอยด์ (Limonoids) ได้แก่ สารเกดูนิน และ นิมโบลิดี ในใบและเมล็ดสะเดา สามารถยับยั้งเชื้อฟัลซิปารัม (P.Falciparum) ซึ่งเป็นเชื้อไข้มาลาเรียดื้อยาชนิดหนึ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

๔.รักษาโรคไขข้อ ขอบใบสะเดา เมล็ดสะเดา และเปลือกต้น เป็นส่วนที่นำมาใช้เป็นยารักษาโรคไขข้อได้ โดยช่วยลดอาการปวด บวมในข้อ ซึ่งอาจนำมาสกัดเป็นน้ำมันใช้ทาในบริเวณที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และอาการปวดหลังช่วงล่าง หรือนำใบมาต้มเป็นน้ำดื่มเพื่อรักษาอาการของโรครูมาตอยด์ โรคเกาต์ โรคกระดูกพรุน

๕.ช่วยย่อยอาหาร ใบสะเดา สามารถนำมาทำเป็นเมนูเรียกน้ำย่อยได้ เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำดี ช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารได้ดีขึ้น อีกทั้งน้ำดีที่ถูกกระตุ้นสร้างออกมานั้นจะช่วยย่อยอาหารประเภทไขมันได้ดีขึ้นด้วย

๖.บำรุงสุขภาพช่องปาก บำรุงเหงือกและฟัน นิยมนำมาสกัดเป็นส่วนผสมในยาสีฟันทั่วไป ช่วยรักษาโรครำมะนาด โรคเลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก และลดอาการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก

๗.ลดความเสี่ยงการเกิดเนื้องอก และมะเร็งมีผลวิจัยบางชิ้นเผยว่า สารพอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharides) และสารลิโมนอยด์ (Limonoids) ที่พบในเปลือก ใบ และผลสะเดา มีคุณสมบัติช่วยลดความเสี่ยงการเกิดเนื้องอก และมะเร็ง

๘.บำรุงข้อต่อ สะเดาช่วยบำรุงกระดูกและข้อต่อต่าง ๆ ในร่างกาย

๙.ช่วยรักษาโรคเบาหวาน โดยจะยับยั้งการผลิตอินซูลินได้กว่าร้อยละ ๕๐ และยังช่วยปรับสมดุลความอยากอาหาร

๑๐.ดีท็อกซ์สารพิษในกระแสเลือด ทำให้มีปริมาณเลือดดีหมุนเวียนในร่างกายมากขึ้น

๑๑.ต้านมะเร็งสารพอลิแซ็กคาไรด์ และสารลิโมนอยด์ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย

๑๒.ลดการติดเชื้อราในช่องคลอด

๑๓.บำรุงหัวใจ ผลของต้นสะเดา หากนำมาต้ม ใช้จิบอย่างน้อยวันละครั้ง มีคุณสมบัติช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดเป็นปกติ [๑๐]

กลุ่ม“เครื่องยาที่มีน้ำหนักรองลงมาเป็นอันดับสอง”มีน้ำหนักยา ๖ สลึง หรือประมาณ ๒๒.๕ กรัมต่อ ๑ ตัวยา มีทั้งสิ้น ๓ ตัวยา ได้แก่ ผลกระดอม, พริกไทย, และ ดีปลี น้ำหนักรวมทั้งสิ้น ๖๗.๕​ กรัม โดยมีรายละเอียดในงานวิจัยยุคใหม่ดังนี้

ผลกระดอม (Gymnopetalum chinesis (Lour.) Merr.) รสขม ซึ่งมีน้ำหนักประมาณร้อยละ ๘.๘๖๓ ของตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก

ในตำรายาไทยรวบรวมโดย ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ระบุว่า

ผลกระดอม บำรุงน้ำดีผลอ่อน รสขม บำรุงน้ำดี แก้ดีแห้ง ดีฝ่อ คลั่งเพ้อ คุ้มดีคุ้มร้าย เจริญอาหาร แก้สะอึก ดับพิษโลหิต บำรุงมดลูก แก้ไข้ รักษามดลูกหลังการแท้ง หรือการคลอดบุตร แก้มดลูกอักเสบ ถอนพิษผิดสำแดง ต้มน้ำดื่ม บำรุงโลหิต [๑๑]

ในขณะที่สารานุกรมสมุนไพรเล่ม ๕ ในส่วนของสมุนไพรพื้นบ้านอีสาน รวบรวมโดยมูลนิธิมหาวิทยาลัยมหิดลได้ระบุตรงกันว่า ผลกระดอมต้มดื่มน้ำเพื่อ “บำรุงโลหิต”[๑๒]

นอกจากนั้นผลของการรวบรวมฐานข้อมูลสมุนไพรในเอเชียแปซิฟิกสำหรับการต้านการติดเชื้อปรสิต พ.ศ. ๒๕๖๔ (Medicinal Plants in Asia and Pacific for Parasitic Infections, ๒๐๒๑) ระบุว่าผลกระดอมมีสรรพคุณเป็นยาถ่ายหรืออาเจียนเพื่อต้านการติดเชื้ออันเนื่องด้วยอาศัยสารสำคัญคือ

Sesquiterpenoids และ Cardiac glycosides [๑๓]

พริกไทย (Piper nigrum L.) รสเผ็ดร้อน ซึ่งมีน้ำหนักประมาณร้อยละ ๘.๘๖๓ ของตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก [๑๔]

ในพระคัมภีร์สรรพคุณเภสัช ในตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์สมัยรัชกาลที่ ๕​ ได้ระบุสรรพคุณของเมล็ดพริกไทยความตอนหนึ่งว่า

“เมล็ด, แก้ลมอัณพฤกและมุตคาด รู้ดับเสมหะอันฟุ้งซ่านให้งวดลง บำรุงธาตุให้เป็นปรกติ แก้สรรพลมทั้งปวง อันเกิดในทรวง”[๑๕]

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ ๕ ได้กล่าวความสำคัญของพริกไทยที่มีความสำคัญต่อการแก้ปัญหาพิกัดธาตุลมยิ่งกว่าสิ่งใด ด้วยข้อความว่า

“เหตุว่าพริกไทยนั้น แก้ในกองลมสรรพคุณ สิ่งอื่นที่จะแก้ลมยิ่งกว่าพริกไทยนั้นหามิได้”[๑๖]

อย่างไรก็ตามรวบรวมโดย ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ระบุว่า

พริกไทย ใช้ เมล็ด ลดอาการท้องอืดเฟ้อ แน่นจุกเสียด ขับลมในลำไส้ให้ผายเรอ ช่วยเจริญอาหาร ,แก้กองลม , บำรุงธาตุ , แก้ลมอัมพฤกษ์ , แก้มุตตกิต , แก้ลมสัตถกะวาตะ , แก้ลมอันเนื่องจากอวัยวะสืบพันธุ์ , แก้ลมมุตตฆาต (ลมที่ทำให้ท้องลั่นโครกคราก) ขับเสมหะ ขับเหงื่อ ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย ทำให้ตัวเย็นรู้สึกร้อนเหงื่อออกสบาย ขับปัสสาวะ กระตุ้นประสาท บำรุงธาตุ บำรุงไฟธาตุ แก้อาหารไม่ย่อย [๑๔]

ผลและเมล็ด รักษาอาการปวดกระเพาะอาหาร อาเจียน แก้ลม จุกเสียด แน่นท้อง ขับลมในกระเพาะ ท้องเสีย แก้ปวดท้อง ปวดฟัน แก้ท้องอืด อาหารไม่ย่อย แก้หวัด ทำให้น้ำลายออกมาก ช่วยให้น้ำย่อยหลั่งมากขึ้น ทำให้อยากอาหาร แก้อ่อนเพลีย กษัยกร่อนแห้ง แก้บิด ปวดเมื่อยตามร่างกาย ตะคริว แผลปวดเพราะสุนัขกัด ฝี สะอึก ห้ามเลือด ยาหลังคลอดบุตร ปวดศีรษะ แก้อาหารเป็นพิษ ตำรายาอินเดีย ใช้กลั้วคอ แก้เจ็บคอ ลดไข้ [๑๔]

ในการศึกษาทางเภสัชวิทยาพบว่า สารสกัดที่มีอยู่พริกไทยนั้นออกฤทธิ์ที่น่าสนใจหลายประการ ผ่านการทดลองในสัตว์ทดลอง เช่น การออกฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนเลือดไปที่มดลูก[๑๗], ระงับอาการปวด[๑๘], ระงับอาการชัก[๑๙], ต้านการอักเสบ[๑๘],[๒๐],[๒๑], เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้และเพิ่มความทรงจำ[๒๒]

พริกไทยยังช่วยบรรเทาความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร หรือกลุ่มที่มีอาการท้องผูก รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของการเคลื่อนตัวในระบบทางเดินอาหารอีกด้วย[๒๓]

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสำคัญในพริกไทยดำชื่อ piperine สามารถเพิ่มชีวปริมาณออกฤทธิ์ให้กับสมุนไพรอื่นๆในเครื่องยาได้มากขึ้น โดยงานวิจัยพบว่าสารสำคัญในพริกไทยนี้สามารถเพิ่มชีวปริมาณออกฤทธิ์ได้มากระหว่างร้อยละ ๓๐ - ๒๐๐[๒๔]

ดีปลี (Piper retrofractum Vah) นั้นในพระคัมภีร์สรรพคุณเภสัช ในตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์สมัยรัชกาลที่ ๕​ ได้ระบุสรรพคุณของผลดีปลีมีรสเสมอราก ดังความตอนหนึ่งว่า

“รากดีปลีมีรสเผ็ด แก้ตัวร้อนแก้พิษคชราช ให้ปิดธาตุ (ทำให้ธาตุร่างกายหยุดอาการผิดปกติ) ผลดีปลีมีรสเสมอกันกับราก แก้ลมเจริญธาตุไฟแก้หืดไอเสมหะ”[๒๕]

ทั้งนี้ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ระบุว่า

ดีปลีในตำรายาไทย: ใช้ผล ขับลม ลดอาการไอ ระคายคอจากเสมหะ ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด บำรุงธาตุไฟ แก้ปวดท้อง แก้คลื่นไส้ อาเจียน แก้ตับพิการ แก้ท้องร่วง แก้ไอ บีบมดลูก บำรุงธาตุ ใช้เป็นยาแก้โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ขับเสมหะ แก้หืด แก้หลอดลมอักเสบ แก้ลมวิงเวียน เป็นยาระงับแก้อาการนอนไม่หลับ โรคลมบ้าหมู เป็นยาขับน้ำดี เมื่อมีการอุดตันของท่อน้ำดี ยาขับระดูและทำให้แท้งลูก เป็นยาขับพยาธิในท้อง แก้ริดสีดวงทวารหนัก ใช้ปรุงเป็นยาทาภายนอกสำหรับบรรเทาอาการปวดที่กล้ามเนื้อ ทำให้ร้อนแดงและมีเลือดมาเลี้ยงที่บริเวณนั้นมากขึ้น แก้อักเสบ ฝนเอาน้ำทาแก้ฟก บวม ใส่ฟัน แก้ปวดฟัน [๒๖]

ส่วนดีปลี ในตำรายาแผนโบราณ: กล่าวว่า ผลแก้อัมพาต แก้เส้นปัตตะฆาต แก้เส้นอัมพฤกษ์ แก้คุดทะราดให้ปิดธาตุ แก้โรคหลอดลมอักเสบ เป็นยาขับระดู เป็นยาธาตุ ทาแก้ปวดอักเสบของกล้ามเนื้อ ระงับอชิณโรค บำรุงธาตุ ขับลม ขับลมให้กระจาย ขับผายลม แก้ลม ขับลมในลำไส้ แก้ท้องร่วง แก้ธาตุพิการ แก้ธาตุไม่ปกติ แก้ปฐวีธาตุพิการ แก้วิสติปัฏฐี แก้ปัถวีธาตุ ๒๐ ประการ บำรุงร่างกาย เจริญอาหาร แก้จุกเสียด เจริญไฟธาตุ แก้ปวดท้อง ขับเสมหะในโรคหืด แก้อุระเสมหะ (เสมหะในทรวงอก) ปรุงเป็นยาประจำ ปัถวีธาตุ เป็นยาขับรกให้รกออกง่าย ภายหลังจากการคลอดบุตรและใช้เวลาโลหิตตกมาก แก้เสมหะ แก้หืดไอ แก้ลมวิงเวียน แก้ริดสีดวงทวาร แก้คุดทะราด แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้อาการคลื่นไส้ (เกิดจากธาตุไม่ปกติ)[๒๖]

นอกจากนั้นยังผลการศึกษาทางเภสัชวิทยายังพบเรื่องงานวิจัยอื่นๆที่น่าสนใจอื่นๆอีก ดังเช่น ดีปลีช่วยลดไขมันและเซลล์ไขมันในหนูทดลอง[๒๗], ลดอาการบวมหรือการอักเสบในหนูทดลอง [๒๘], ออกฤทธิ์ระงับการปวดในหนูทดลอง[๒๘], ออกฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารในหนูทดลอง [๒๘], ออกฤทธิ์ลดอาการวิตกกังวลและความเครียดตลอดจนออกฤทธิ์ทำให้ง่วงนอนในหนูทดลอง [๒๙], ออกฤทธิ์ต้านเชื้อรา [๓๐], ออกฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย [๓๑], สารสำคัญหลายชนิดในดีปลีออกฤทธิ์ต้านมะเร็ง [๓๒] และออกฤทธิ์ต้านไวรัสเดงกีที่ทำให้เกิดไข้เลือดออก [๓๓]

แม้จะเป็นสมุนไพรเพียง ๔ ชนิดจาก ๒๑ ชนิดในเครื่องยาทั้งหมดของยาลม ๓๐๐ จำพวก แต่ทั้งใบสะเดา, ผลกระดอม, พริกไทย และดีปลี ต่างมีน้ำหนักเครื่องยารวมกันคิดเป็นร้อยละ ๕๐.๒๒๓ ของตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก

เมื่อพิจารณาน้ำหนักยาครึ่งแรกซึ่งเป็น “ตัวยาหลัก” และ “ตัวยารอง”ก็พอที่จะบอกได้เบื้องต้นแล้วว่าเหตุใดตำรับยานี้ จึงแก้เรื่องโรคทางเสมหะ และขับลมของผู้สูงวัยได้ และยังทำให้เกิดการลดการอักเสบ ลดแผลในระบบทางเดินอาหาร ลดน้ำตาล ลดอาการปวด ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง บำรุงน้ำดีและช่วยย่อยอาหาร ต้านแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส และยังทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการคิดและความทรงจำดีขึ้น และยังลดความวิตกกังวลได้อีกด้วย

ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต


อ้างอิง
[๑] ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การประกาศกําหนดตําราการแพทย์แผนไทยของชาติและตํารับยาแผนไทยของชาติ (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๖๐, วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เล่ม ๑๓๔ ตอนพิเศษ ๒๗๑ ง หน้า ๙
https://www.dtam.moph.go.th/images/document/law/National_Texts_2560-13.PDF

[๒] ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒, วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๒, เล่ม ๑๑๖, ตอนที่ ๑๒๐ ก, หน้า ๔๙ - ๖๙, (หน้า ๕๔)
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2542/A/120/49.PDF

[๓] สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรม หายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ : ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, ๑,๐๒๕ หน้า องค์การค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๔, จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม, ISBN: ๙๗๘-๙๗๔-๐๑-๙๗๔๒-๓, หน้า ๕๘๐-๕๘๑

[๔] ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, “ยาลม ๓๐๐จำพวก” ยาอายุวัฒนะ ในตำรายาหลวงสมัยรัชกาลที่ ๕ ต้านอนุมูลอิสระระดับโลก, Fanpage ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๔, และ MgrOnline, ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๔
https://www.facebook.com/123613731031938/posts/4786591008067497/
https://mgronline.com/daily/detail/9640000124643

[๕] ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, “ยาลม ๓๐๐ จำพวก” ยาอายุวัฒนะ ในตำรายาหลวงสมัยรัชกาลที่ ๕ ต้านอนุมูลอิสระระดับโลก (ตอนที่ ๓) : รสยาและสรรพคุณเภสัชไทย, เฟสบุ๊คแฟนเพจ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๔, และ MGR Online, วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔
https://www.facebook.com/123613731031938/posts/4841690625890868/
https://mgronline.com/daily/detail/9640000129525

[๖] สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรม หายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ : ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, ๑,๐๒๕ หน้า องค์การค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๔, จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม, ISBN: ๙๗๘-๙๗๔-๐๑-๙๗๔๒-๓, หน้า ๓๖๖

[๗] Mohammad A. Alzohairy, Therapeutics Role of Azadirachta indica (Neem) and Their Active Constituents in Diseases Prevention and Treatment, Hindawi Publishing Corporation Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine, Volume 2016 |Article ID 7382506 | Accepted 11 January 2016 https://doi.org/10.1155/2016/7382506
https://downloads.hindawi.com/journals/ecam/2016/7382506.pdf

[๘] U. Bandyopadhyay, K. Biswas, A. Sengupta et al., “Clinical studies on the effect of Neem (Azadirachta indica) bark extract on gastric secretion and gastroduodenal ulcer,” Life Sciences, vol. 75, no. 24, pp. 2867–2878, 2004.

[๙] S. S. Pandey, A. K. Jha, and V. Kaur, “Aqueous extract of neem leaves in treatment of Psoriasis vulgaris,” Indian Journal of Dermatology, Venereology and Leprology, vol. 60, no. 2, pp. 63– 67, 1994.

[๑๐] แนวหน้าและกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, เรื่องน่ารู้ “สะเดา” หวานเป็นขม ขมเป็นยา”,เว็บไซต์คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
https://www.rama.mahidol.ac.th/patient_care/th/health_issue/06082015-1153-th

[๑๑] สุดารัตน์ หอมหวล, กระดอม, ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewpage&pid=5

[๑๒] มูลนิธิมหาวิทยาลัยมหิดล (๒๕๔๘), สารานุกรมสมุนไพรเล่ม ๕ สมุนไพรพื้นบ้านอีสาน, หน้า ๘๕, เว็บไซต์ข้อมูลพืชสมุนไพร, ขี้กาดง (กระดอม),คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
http://pharmacy.su.ac.th/herbmed/herb/text/herb_detail.php?herbID=361

[๑๓] J.K. Aronson MA, DPhil, MBChB, FRCP, HonFBPhS, HonFFPM, in Meyler's Side Effects of Drugs, 2016, Medicinal Plants in Asia and Pacific for Parasitic Infections, 2021, Pubished :Website Sciencedirect
https://www.sciencedirect.com/topics/pharmacology-toxicology-and-pharmaceutical-science/euonymus

[๑๔] สุดารัตน์ หอมหวล, พริกไทยดำ, ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewpage&pid=90

[๑๕] สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรม หายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ : ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, ๑,๐๒๕ หน้า องค์การค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๔, จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม, ISBN: ๙๗๘-๙๗๔-๐๑-๙๗๔๒-๓, หน้า ๓๕๘

[๑๖] พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย, ตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ ๕ เล่ม ๓ พระคัมภีร์สมุฏฐานวินิจจฉัยเล่ม ๒ จบบริบูรณ์ เลขที่ ๑๐๔๕ หน้าต้นที่ ๔๐ คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุในคณะอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔, ตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ ๕ เล่ม ๓ หน้า ๘๕

[๑๗] จงจินตน์ รัตนาภินันท์ชัย. ผลของ piperine ต่อการไหลเวียนของเลือดที่ไปยังมดลูก [วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสรีรวิทยา]. กรุงเทพฯ. มหาวิทยาลัยมหิดล; ๒๕๓๐

[๑๘] TasleemF, Azhar I, Ali SN, Perveen S, Mahmood ZA. Analgesic and anti-inflammatory activities of Piper nigrum L. Asian Pacific journal of tropical medicine. 2014;7(Suppl 1):S461-S468.

[๑๙] Bukhari IA, Alhumayyd MS, Mahesar AL, Gilani AH. The analgesic and anticonvulsant effects of piperine in mice. Journal of Physiology and Pharmacology. 2013;64(6):789-794.

[๒๐] Tangyuenyongwatana P, Gritsanapan W. Prasaplai: An essential Thai traditional formulation for primary dysmenorrhea treatment. TANG. 2014;4(2):10-1.

[๒๑] อินทัช ศักดิ์ภักดีเจริญ, สุนิตา มากชูชิต, อรุณพร อิฐรัตน์. การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งไนตริกออกไซด์ของสารสกัดสมุนไพรผสม. ธรรมศาสตร์เวชสาร ๒๕๕๗; ๑๔(๑):๗-๑๑.

[๒๒] Chaiwiang N, Pongpattanawut S, Khorana N, Thanoi S, Teaktong T. Role of Piperine in Cognitive Behavior and the Level of Nicotinic Receptors (nAChRs) in Mouse Brain. Thai J Pharmacol. 2016;38(2):5-16.

[๒๓] Malik Hassan Mehmood and Anwarul Hassan Gilani, Pharmacological Basis for the Medicinal Use of Black Pepper and Piperine ind Gastrointestinal Disorders, Journal of Medicinal FoodVol. 13, No. 5 Full Communications Published Online:1 Oct 2010
https://doi.org/10.1089/jmf.2010.1065
https://www.liebertpub.com/doi/10.1089/jmf.2010.1065

[๒๔] Shaikh J, Ankola DD, Beniwal V, Singh D, Kumar MN. Nanoparticle encapsulation improves oral bioavailability of curcumin by at least 9-fold when compared to curcumin administered with piperine as absorption enhancer. Eur J Pharm Sci. 2009;37:223–230.

[๒๕] สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรม หายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ : ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, ๑,๐๒๕ หน้า องค์การค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๔, จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม, ISBN: ๙๗๘-๙๗๔-๐๑-๙๗๔๒-๓, หน้า ๓๗๔

[๒๖] สุดารัตน์ หอมหวล, ดีปลี, ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewpage&pid=58

[๒๗] Kim KJ, Lee M-S, Jo K, Hwang J-K. Piperidine alkaloids from Piper retrofractum Vahl. protect against high fat diet induced obesity by regulating lipid metabolism and activating AMP-activated protein kinase. Biochemical and Biophysical Research Communications.2011;411:219–225.

[๒๘] Sireeratawong S, Itharat A, Lerdvuthisopon N, Piyabhan P, Khonsung P, Boonraeng S, et al. Anti-Inflammatory, analgesic and antipyretic activities of the ethanol extract of Piper interruptum Opiz. and Piper chaba L. ISRN pharmacology. 2012;2012:1-6.

[๒๙] Sarfaraz S, Najam R, Sarfaraz A.CNS depressant, sedative and anxiolytic activity of ethanolic extract of fruit of Piper chaba revealed after neuropharmacological screening. International Journal of Pharmacy and Pharmaceutical Sciences.2014;6(11):186-189.

[๓๐] เนตรนภา พรหมสวรรค์.การศึกษาสารต้านเชื้อจากผลดีปลี.โครงการพิเศษสาขาวิชาเคมีคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,1998

[๓๑] Phatthalung PN, Chusri S, Voravuthikunchai SP. Thai ethnomedicinal plants as resistant modifying agents for combating Acinetobacter baumannii infections. BMC Complementary and Alternative Medicine. 2012;12:1-8.

[๓๒] Muharini, R, Liu Z, Lin W, Proksch P. New amides from the fruits of Piper retrofractum. Tetrahedron Letters. 2015;56: 2521-2525.

[๓๓] Klawikkan N, Nukoolkarn V, Jirakanjanakit N, Yoksan S, Wiwat C, Thirapanmethee K. Effect of Thai medicinal plant extracts against Dengue virus in vitro. Mahidol University Journal of Pharmaceutical Science. 2011;38(1-2):13-18.




กำลังโหลดความคิดเห็น