ท่านห้าวเป้ง หัวหน้ารัฐบาลนำทีม “ไปปฏิบัติราชการ” ที่อุดรธานีสัปดาห์ก่อน ได้สร้างความฮือฮาเหมือนเป็นภาพหนังชีวิตหลายฉาก ทำให้ชาวบ้านได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับการเมืองด้อยพัฒนาที่เน้นแต่การหาความนิยมคะแนนเสียงเพื่ออยู่ต่ออีกนาน
ผลที่ตามมา การจัดฉาก แหกตาท่านผู้นำโดยขบวนการลิ่วล้อ สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงโดยภาพการบันทึกฉากต่างๆ โดยไม่มีการเสริมแต่ง ยิ่งกว่าการแสดง
เป็น Cinéma vérité หรือ “ภาพยนตร์แห่งความจริง” ไม่ต้องมีผู้กำกับ จัดฉาก ท่านผู้นำรัฐบาลจะชื่นชอบ พอใจ จากการที่รับรู้ความเป็นจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้
หรือท่านผู้นำก็รู้อยู่แก่ใจว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บรรดาลิ่วล้อการเมืองได้จัดฉากให้เจ้านาย เป็นอย่างนี้ทุกยุค ยิ่งถ้าเจ้านายนักการเมืองรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่ได้รับนิยม อยู่ท่ามกลางเสียงก่นด่าของคนทั้งแผ่นดิน การมีคนเข้าแถวเชียร์แบบจัดฉาก ก็ยังดูดี
นักเลือกตั้งอยู่ได้ด้วยการแสดงละคร แหกตาชาวบ้านเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
การที่ผู้นำห้าวเป้งได้รับการต้อนรับจากกองเชียร์ จัดหามาโดยหัวหน้าเสื้อแดงกลายพันธุ์ในอุดรธานี เท่ากับเป็นการสร้างฉากให้ตัวเองได้ออกลีลาลูกเล่นแบบเดิมๆ คงเชื่อโดยสนิทใจว่าคนที่มานั้นชื่นชอบผลงานที่ตัวเองได้ทำมากว่า 7 ปี
ฉาก 1 ถูกเปิดเผยโดยภาพของการฝึกซ้อมกองเชียร์ มีชาวบ้านยืนเข้าแถวถือป้ายเชียร์ลุง มีหัวหน้าเป็นเสื้อแดงกลายพันธุ์ในพื้นที่กำกับการเชียร์ ส่งสัญญาณและคำสั่งให้ชาวบ้านต้องพูดหรือตะโกนเชียร์ว่าอย่างไร ซ้อมหลายรอบให้ดูเป็นธรรมชาติ
เมื่อไม่ใช่ของจริง ไม่ได้มาจากใจชาวบ้านแฟนการเมืองแท้ อะไรๆ ก็ทำให้ดูไม่เนียน ด้วยเหตุนี้จึงต้องซ้อม เตี๊ยมกัน 2-3 รอบ เพื่อไม่ให้ผิดพลาด ผิดคิว
อนิจจา คงไม่นึกว่าภาพการซ้อมจะถูกนำไปเปิดโปงการจัดฉากต้อนรับผู้นำ ชาวบ้านที่มาก็ฟ้องให้เห็นว่าลักษณะท่าที วัย และการแสดงออกไม่ได้เป็นกลุ่มที่มีกิจกรรมการเมือง หรือให้ความสนใจความเป็นไปในบ้านเมือง อยู่ไปแต่ละวัน
ถึงวันจริง มีชาวบ้านมาเพิ่มต้อนรับหัวหน้ารัฐบาลซึ่งเป็นปลื้ม ป้อนคำหวาน คำมั่นสารพัดแบบเดิมๆ ไม่มีใครส่งเสียงไม่เห็นด้วย เพราะคนที่มาถูกคัดสรรมาแล้ว
มีคนเปิดโปงว่าชาวบ้านที่มาไม่ใช่คนอุดรแท้ มีคนขนมาจากพื้นที่อื่น ก็สังเกตได้จากการแต่งตัว การซ้อมเล่นบทเชียร์ เพราะต้องถูกกำกับหลายรอบ ทั้งต้องปรบมือเป็นจังหวะขณะที่ส่งเสียงเชียร์ลุง ชาวบ้านจะได้ค่าเหนื่อยหรือไม่ ไม่มีใครบอก
ฉาก 2 เป็นการหักมุมอย่างแรง เมื่อท่านห้าวเป้งไปไหว้พ่อปู่ แม่ย่าที่คำชะโนด ถูกแวดล้อมโดยชาวบ้านกองเชียร์เช่นเดิม ผลัดกันเอาผ้าขาวม้าคาดเอว พาดคอลุง ไม่มีใครรู้ว่าคนที่พาดนั้นซื้อมาเอง หรือมีคณะจัดฉากหามาให้ เน้นความนิยมผู้นำ
ขณะที่ท่านผู้นำกำลังร่าเริงกับการต้อนรับ ดันมีสาววัย 28 ขายก๋วยเตี๋ยว ตะโกนแทรก “อยากให้มาเป็นนายกฯ แล้วพัฒนาเยอะๆ หากพัฒนาไม่ได้ก็ขอให้นายกฯ เกษียณไปเสียเร็วๆ นะคะ” ท่านผู้นำแทบไม่เชื่อหู ย้อนถาม “ว่าไงนะ...”
สาวขายก๋วยเตี๋ยวก็ย้ำคำเดิมอีกครั้ง คราวนี้ท่านผู้นำได้ยินชัด ย้อน “ไปดูว่าที่ผ่านมาผมได้ทำอะไรให้บ้านเมืองบ้าง...” หรืออะไรทำนองนี้โชว์อาการลมบ่จอยแล้ว
เมื่อสาววัย 28 ทำให้บรรยากาศเสีย จากนั้นก็เป็นเรื่องราวว่ามีตำรวจอุดรจะไปสอบถาม รวมทั้งทำประวัติ ทำเอานายตำรวจต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวปฏิเสธว่าไม่มีตำรวจนายใดโทร.ไปหาสาวขายก๋วยเตี๋ยว หรือเรียกให้มาสอบประวัติ
โฆษกรัฐบาลก็ปฏิเสธ ว่าไม่มีเรื่องเช่นนั้น เป็นการระงับความเสียหายเพราะจะทำให้ท่านผู้นำดูไม่ดีมากๆ เพราะได้แสดงออกให้เห็นปัญหาเรื่องวุฒิภาวะทางอารมณ์
ฉาก 3 ไม่เกี่ยวกับท่านผู้นำ แต่สร้างความฮือฮา และสภาวะอย่างฮา เมื่อ 2 สตรีอายุเกินวัยกลางคน เข้าไปต้อนรับลุงป้อม ที่ร่วมขบวนไปอุดรด้วย
เมื่อลุงป้อมลงจากรถ หญิงนางหนึ่งก็รีบถลาเข้าไปก้มลงกราบ กล่าวต้อนรับ “ท่านนายกฯ” พร้อมกับแสดงออกให้เห็นความยินดีที่ได้พบผู้นำประเทศ
ลุงป้อมต้องปฏิเสธเป็นพัลวันว่าตัวเองไม่ใช่ “ท่านนายกฯ” ในใจคิดอย่างไร ไม่มีใครรู้ แต่คงเกือบช็อก คนที่ได้เห็นภาพก็คงขำไม่ออกเช่นกัน
นี่เป็นปัญหาที่คนเข้าใจยาก คนจัดฉากไม่ได้เตี๊ยมให้ 2 สตรีได้รับรู้ว่านายกฯ หน้าตารูปร่างเป็นอย่างไร หรือคงไม่นึกว่าทั้งสองคนจะไม่รู้ว่าใครเป็นนายกฯ
ท่านห้าวเป้งได้เห็นคงฉุน ตัวเองเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารกว่า 5 ปี เป็นนายกฯ กว่า 2 ปี ออกทีวีเป็นข่าวแทบทุกวัน เป็นไปได้อย่างไรที่ยังมีคนไทยไม่รู้จัก
คนจัดฉากก็ช่างกระไร ไปเอา 2 สตรีมาจากไหน หลังเขาหรืออย่างไร ไม่ประสากับข่าวเหตุการณ์บ้านเมือง จะสร้างฉากต้อนรับท่านผู้นำสักหน่อย ดันผิดฝาผิดตัว จะแหกตาเอาใจผู้นำ ดันทำตัวเองหน้าแหกหมอที่ไหนก็ไม่รับเย็บ
ฟ้องให้เห็นว่าแทบทุกขั้นตอน ล้วนเป็นการจัดฉาก แหกตาผู้นำทั้งนั้น
งานนี้หัวหน้าเสื้อแดงกลายพันธุ์และลูกพี่ในทำเนียบจะตีสีหน้า เข้าหน้าท่านผู้นำได้หรือไม่ ว่าทั้งหมดนั้นเป็นการจัดฉาก แท้ที่จริงแล้ว ตัวเองไม่ได้รับความนิยมจากชาวอุดรอย่างเช่นที่เห็น และคนไปต้อนรับก็มีไม่มากสมกับเป็นงานใหญ่
ลุงป้อมน่าจะมีทางออก ถ้าย้อนเหตุการณ์ได้ ก็น่าจะบอกทั้งสองหญิงว่า “ผมไม่ใช่นายกรัฐมนตรี ผมเป็นแค่นายกฯ ตัวจริง คนละตำแหน่งกัน นายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ นายกฯ ตัวจริงบริหารพรรค” อย่างนี้ก็ไม่ผิดจากความจริง คนทั่วไปก็คิดแบบนี้
ภาพยนตร์แห่งความจริง หรือ Cinéma vérité ทั้ง 3 ฉากสมควรได้รับรางวัลออสการ์ 3 ตัว ส่วนผู้กำกับนักจัดฉากได้รางวัลจากท่านผู้นำหรือไม่ ยังไม่มีฉากนี้ให้เห็น