สร้างความฮือฮาได้มากเมื่อพรรคเพื่อไทยเปิดตัวทายาทคนสุดท้อง ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน กล่องดวงใจ ของ “โทนี่ ดูไบ” ลงสู่สนามการเมือง ได้ตำแหน่งประธานที่ปรึกษาด้านนวัตกรรม เป็นการเดินทางลัด ไม่ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคัดเลือก
ถือว่าถ้าเป็น “ชินวัตร” สายตรงแล้ว ไม่ต้องมีข้อข้องใจ คำถามอะไรทั้งนั้น!
เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าพรรคการเมืองที่เปลี่ยนชื่อ อวตารมา 3-4 ครั้งนั้น เป็นสมบัติของครอบครัว “โทนี่ ดูไบ” ถ้าใครจะมาเป็นใหญ่ ถ้าไม่เป็นทายาทสายตรง ก็ถือว่าเป็นนอมินี เพียงไม่ประกาศว่าประเทศนี้เป็นของตระกูลด้วยเท่านั้น
แต่ก็ทำเหมือนว่าแผ่นดินนี้เป็นสมบัติของตระกูล จะส่งใครมาแล้วจับยัดให้เป็นผู้บริหารก็ได้ ประชาชนบ้องตื้นมีสิทธิได้เป็นคนกาเบอร์ให้ฉันทานุมัติตามรูปแบบของธนาธิปไตย เงินเป็นใหญ่ จ้างผีโม่แป้ง จ้างคนให้ลืมความรักห่วงใยชาติก็ได้
ก่อนวันที่ “อุ๊งอิ๊ง” ปรากฏตัวบนเวที ได้มีการปล่อยข่าวก่อน 2-3 วัน เมื่อเป็นจริง ภาพที่เห็นทำให้พรรคเพื่อไทยมีความหวังใหม่ ความมีชีวิต หวังแจ้งเกิด ไม่ต่างจากผีดิบได้ดูดเลือด หลังจากความไม่แน่นอนว่าจะเอาใครมาเป็นตัวชิงนายกฯ
ปรากฏการณ์ “อุ๊งอิ๊ง” ถือเป็นเดิมพันใหญ่อีกครั้งของ “โทนี่ ดูไบ” เป็นความยินยอมเห็นพ้องต้องกันกับคุณนายว่าจำเป็นต้องเอาลูกสาวคนสุดท้องมาเสี่ยง จะให้คนนอกมาก็ไม่ไว้ใจ เอา “ชินวัตร” มาแล้ว ไม่ต้องโฆษณามากเพื่อได้ใจพวกบ้องตื้น
เป็นการเมืองพิสดารไร้หลักการที่ปรากฏให้เห็น สังคมจะลืมหรือไม่ลืมก็สุดแล้วแต่ ในความจริงที่ว่าพรรคการเมืองก่อนแปลงร่างนี้ได้ถูกยุบ 2 ครั้ง นายกฯ จากตระกูล “ชินวัตร” ได้ถูกรัฐประหาร 2 ครั้ง หนีคดี โทษอาญาไปอยู่ต่างประเทศทั้งคู่
และครอบครัวนี้ มีแต่เรื่องผิดกฎระเบียบ ผิดกฎหมาย มีปัญหากับกฎหมายด้วยข้อหาอาชญากรรม หัวหน้าครอบครัวทั้งคู่ เครือข่ายญาติ บริวาร ล้วนหนีคุก
กรณี “อุ๊งอิ๊ง” ก็มีตราด่างประทับกรณีสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไม่มีวันลบได้!
มีเรื่องฉาวอย่างนี้แล้ว ในสังคมที่พัฒนา ย่อมไม่ยอมให้คนเครือข่ายนี้เผยอหน้าในสังคม หรือหาญกล้าจะเสนอตัวคนมีมลทินด่างพร้อยเข้าสู่การเมือง
และเป็นเรื่องพิสดารด้านธรรมเนียมปฏิบัติ ถ้าติดยี่ห้อ “ชินวัตร” แล้ว ไม่ว่าจะเป็นหัวดำ หัวหงอก หัวล้าน หรือหัวมีขนประปรายอยู่ในพรรค ก็จะไม่ซักถามเรื่องคุณสมบัติ ความเหมาะสม คุณงามความดี ความรู้ ประสบการณ์ อะไรทั้งนั้น
ไม่ว่าพวกนี้มีประสบการณ์ การทำงาน เป็นอดีตข้าราชการ รัฐมนตรี ใหญ่โตสำคัญแค่ไหน ก็ต้องทำตัวเหมือนเป็นคนไม่มีปากเสียง เป็นหุ่นยนต์ ไขลาน ให้เดินได้ ทำตามคำสั่ง ห้ามคัดค้าน นี่คือคนการเมืองที่ขายจิตวิญญาณ ขาดความเป็นตัวตน
เป็นต้องยอมสยบ ยอมรับ ไม่ต้องซักถาม ไม่มีกระบวนการพิจารณาคุณสมบัติอย่างใด อย่างเป็นกรณี “อุ๊งอิ๊ง” เป็นประธานฝ่ายนวัตกรรม ทำให้น่าสงสัยว่าภายใต้ประธานนั้นมีใครบ้าง คุณสมบัติด้อยค่า ด้อยความสามารถกว่า “อุ๊งอิ๊ง” เช่นนั้นหรือ
คนเลือดใหม่ มีความรู้ การศึกษาดี เป็น ส.ส.หลายสมัย ก็ไม่ซักถาม ข้องใจ วันที่เลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ “หมอชลน่าน” แทบไม่เป็นข่าว ไม่เป็นที่น่าสนใจแม้กระทั่งในพรรคก็ไม่ตื่นเต้น เมื่อถูก “อุ๊งอิ๊ง” ดูดแย่งความสนใจไปหมด
อย่างนี้ต้องสงสัยมั้ยว่าคนทั้งพรรค จะมีใครมีความน่าเกรงกลัว เกรงใจ ยิ่งกว่า “อุ๊งอิ๊ง” องค์กรของพรรค ทั้งตัวหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค จะมีความหมายอะไร
ทำให้คำพูดของอดีตนายกฯ ท่านหนึ่งเปรียบเปรยไว้ว่า ในสังคมเครือข่ายของ “โทนี่ ดูไบ” นั้น มีคนอยู่ 2 ประเภทคือ “ศัตรูและขี้ข้า” ไม่มีมิตรสหายระดับเดียวกัน
“อุ๊งอิ๊ง” ไม่อ้อมค้อม เปิดเผยว่าความปรารถนาของเธอคือการ “นำพ่อ” กลับบ้าน” เพราะพ่ออยากกลับบ้าน ดังนั้นความเร่งด่วนที่ “โทนี่ ดูไบ” ต้องการกลับบ้าน และให้ลูกสาวเป็นนายกฯ อีกคน เป็นการสมประโยชน์ จะทำได้หรือไม่ เป็นอีกเรื่อง
“โทนี่ ดูไบ” ได้ทำให้ตัวเอง และอีก 3 คน ในเครือข่ายได้เป็นนายกฯ ในสังกัด “ชินวัตร” เป็น “ชินวัตร” 2 คน ยังดีที่ “สมชาย” ไม่เปลี่ยนนามสกุลเป็น “ชินวัตร” ตามภรรยา เหมือนคนในบุรีรัมย์ ที่ยอมเปลี่ยนนามสกุลตามเมีย เป็น “ชิดชอบ”
ไม่อย่างนั้น ทำเนียบนายกฯ จะมี “3 ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว
ความพยายามของ “โทนี่ ดูไบ” และอดีตคุณนายถือเป็น 2 แรงแข็งขัน มีทั้งเงินมหาศาลเป็นทุนในการสู้ศึก มีคนในเครือข่ายผนึกกำลังหวังเอาชนะเลือกตั้งแบบ “แลนด์สไลด์” ตามคำประกาศของเจ้าของพรรค ก็มีความเป็นไปได้ระดับหนึ่ง
เมื่อเป็นอย่างนี้ โครงสร้างและโครงข่ายนักเลือกตั้งไม่เปลี่ยนแปลง เป็นสัญญาณว่าบ้านเมืองจะไม่มีอะไรดีขึ้น ถ้า “อุ๊งอิ๊ง” ได้เป็นนายกฯ หญิงคนที่ 2 ของประเทศ เป็นคนในตระกูล “ชินวัตร” วิญญูชนคนในประเทศต้องเดินเอาปี๊บคลุมหัว
ไม่ว่าจะอ้างอย่างไร ก็จะถูกปรามาสว่าเป็นนอมินี หุ่นเชิดของ “โทนี่ ดูไบ” ผ่านควบคุมแบบรีโมตจากต่างประเทศ ยิ่งถ้าจะมีพฤติกรรมสุดซอยในสภาฯ เอา “โทนี่ ดูไบ” กลับบ้านด้วยแล้ว โอกาสจะเกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง มีความเป็นไปได้สูง
ตามธรรมเนียมปฏิบัติของพรรค หัวหน้าพรรคไม่จำเป็นต้องได้เป็นนายกฯ เป็นเพียงตัวประดับพรรค เพราะทุกอย่างยังอยู่ที่ดูไบหรือบ้านจันทร์ส่องหล้า ที่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่ายังเป็นเนื้อและสายเลือดเดียวกัน การพลัดพรากหย่าร้างเป็นเพราะการเมือง
“โทนี่ ดูไบ” จะสู้อีกครั้ง หวังให้คนในเครือข่ายเป็นนายกฯ คนที่ 5 ทำแบบเดิมซ้ำซาก ไม่จดจำบทเรียนที่ทำให้ตัวเองและน้องสาวต้องเป็นคนไร้แผ่นดินจนทุกวันนี้
ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย บ้านเมืองจะเกิดกลียุคอีกหรือไม่ อีกไม่นานก็รู้!