ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีข่าวครึกโครมเกี่ยวกับ 2 ราชวงศ์สำคัญของโลก ข่าวแรกดูจะสะท้อนบัลลังก์เลือดกลางทะเลทรายบ่อน้ำมันที่ซาอุดีอาระเบีย ส่วนข่าวหลัง เป็นข่าวหนุ่มสามัญชนเด็ดดอกฟ้าจากบัลลังก์เบญจมาศ ด้วยความรักที่มั่นคงจนฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ได้ด้วยดี
ทั้งสองราชวงศ์มีส่วนที่เหมือนกันอยู่เรื่องหนึ่งคือ นับถือผู้ชายเป็นใหญ่ แม้จะในดีกรีที่ค่อนข้างต่างกัน เพราะญี่ปุ่นได้แปลงสภาพเป็นประชาธิปไตยที่ค่อนข้างก้าวหน้า และมั่งคั่งทางเศรษฐกิจจนเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลก และปัจจุบันเปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เห็นได้จากมีแพทย์หญิงและเหล่านักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหญิงญี่ปุ่นมากมาย รวมทั้งนักธุรกิจหญิงและนักการเมืองหญิงเช่นกัน
แต่บัลลังก์เบญจมาศก็ยังมีกฎมณเฑียรบาลที่การสืบสันตติวงศ์จะทำผ่านรัชทายาทชายเท่านั้น
จนทำให้พระราชธิดาในจักรพรรดินารูฮิโตะ (องค์กษัตริย์ปัจจุบัน) ก็มิใช่องค์รัชทายาท และรัชทายาทกลับกลายเป็นพระอนุชา (เจ้าชายอากิชิโนะ-ที่เคยเสด็จมาเมืองไทยบ่อยๆ-ท่านทรงชำนาญเรื่องเกี่ยวกับการเลี้ยงปลา) และพระองค์ทรงมีโอรส ธิดา 3 องค์, องค์สุดท้องเป็นพระโอรส ซึ่งจะเป็นรัชทายาทลำดับที่สองต่อจากเจ้าชายอากิชิโนะ
เจ้าชายอากิชิโนะ ทรงมีพระธิดา 2 องค์, องค์ใหญ่คือ เจ้าหญิงมาโกะ (หรือเมโกะ) ซึ่งมีข่าวการอภิเษกสมรสกับพระสหายที่เคยเรียนที่มหาวิทยาลัยคริสเตียนที่โตเกียวด้วยกัน เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว
ทั้งคู่ได้รับพระราชานุญาตให้ประกาศหมั้นหมายกันเมื่อปี 2017 (4 ปีที่แล้ว) โดยเจ้าหญิงมาโกะทรงพร้อมจะสละพระฐานันดรศักดิ์ เพื่อเป็นภรรยาของหนุ่มนักเรียนกฎหมายที่กำลังเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม (Fordham) ที่นิวยอร์ก เป็นมหาวิทยาลัยที่ ปธน.ทรัมป์เคยเรียนอยู่ 2 ปีแรก-ก่อนย้ายไปเรียนที่ยูเพน (u.of Pennsylvania)
ทั้งคู่วางแผนจะเสกสมรสในปี 2018 แต่เจออุปสรรคที่มีข่าวครึกโครมในหน้า นสพ.ญี่ปุ่นว่า คุณแม่ของหนุ่มเคอิที่เป็นพระคู่หมั้นของเจ้าหญิงมาโกะ เป็นหนี้ก้อนโตกับอดีตคู่หมั้น และถูกทวงเงินคืนหลังเธอเลิกสัมพันธ์กับเขา
แผนการเสกสมรสจึงต้องเลื่อนออกไป เพื่อให้หนุ่มนักเรียนกฎหมาย ได้ออกมาจัดการกับปัญหาหนี้ เพื่อไม่ให้เสื่อมเสียต่อเจ้าหญิงมาโกะ และพระราชวงศ์; ที่ว่า เขามุ่งเอื้อมเด็ดดอกฟ้าเพื่อชื่อเสียงหรือความมั่นคงทางการเงิน-โดยเขาจัดทำเอกสารปึกใหญ่แถลงต่อสื่อว่า มารดาของเขาได้รับเงินนั้นจริง แต่เธอเข้าใจว่าคู่หมั้นต้องการส่งเสียให้เขาเรียนหนังสือในด้านกฎหมายในต่างประเทศ...ต่อมาเมื่อแม่ของเขาเลิกรากับคู่หมั้น...แล้วกลับมาทวงคืนเงิน...หนุ่มเคอิจึงแถลงถึงการที่เขาพร้อมรับผิดชอบ จะนำรายได้ของเขาจากการเป็นทนายความที่ สนง.กฎหมายที่นิวยอร์ก เพื่อคืนเงินให้ในเวลามิช้านี้
มารดาของเคอิเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว โดยพ่อของเคอิเสียชีวิตตั้งแต่เขายังอายุน้อยมาก
ระหว่างที่เลื่อนการแต่งงาน ทั้งสองก็ไปเรียนต่อจนหนุ่มเคอิ (ซึ่งได้รับทุนบางส่วนในการศึกษากฎหมาย) เรียนจบและเข้าทำงานที่นิวยอร์ก ขณะที่เจ้าหญิงมาโกะทรงเรียนต่อที่อังกฤษ ด้านการจัดการพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเธอก็มีงานทำสำหรับพิพิธภัณฑ์ที่ญี่ปุ่นอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อหนุ่มเคอิกลับมาโตเกียวเพื่อเตรียมงานแต่ง เขาลงจากเครื่องบินด้วยเสื้อผ้าง่ายๆ ในการเดินทางไกล และรวบผมเป็นหางม้า (บางคนว่าเหมือนซามูไรในอดีตด้วยซ้ำ) แต่ภาพของเขาถูกโจมตีหนักจากสื่อว่าไม่คู่ควรกับเจ้าหญิงพระธิดาองค์ใหญ่ขององค์รัชทายาท ซึ่งเขาก็ได้รีบตัดผมยาว...และกำหนดการเสกสมรสแบบไม่มีราชพิธีใหญ่ก็เกิดขึ้นแบบเรียบง่าย
แต่ราชบัลลังก์เบญจมาศเป็นราชวงศ์เก่าแก่เป็นพันปีที่สืบต่อกันมา จึงมีระเบียบในราชวงศ์ที่เคร่งครัด และเคยทำให้สตรีสามัญชนที่ได้เข้าร่วมเสกสมรสกับพระจักรพรรดิ ต้องกล้ำกลืนต่อขนบเคร่งครัดเหล่านี้ เช่น พระจักรพรรดินีมิชิโกะ ที่ทรงเป็นราชินีของจักรพรรดิพระองค์ก่อน และแม้แต่จักรพรรดินีพระองค์ปัจจุบัน ที่ทรงสำเร็จการศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และทรงเป็นนักการทูตมาก่อน ก็ถึงกับประชวรทางจิตใจเช่นกัน
สำหรับเจ้าหญิงมาโกะ ก็ทรงเครียดมาก (จนประชวร) จากข่าวโจมตีทางสื่อต่อคนรักของพระองค์ และในที่สุดก็ทรงประกาศว่าจะไม่ขอรับเงินขวัญถุงที่เป็นกฎของรัฐบาลที่จะถวายแด่สมาชิกราชวงศ์สตรีที่จะสละพระฐานันดรเพื่อสมรสกับสามัญชน
หลังพิธีเสกสมรสแบบเรียบง่าย ได้มีการแถลงข่าวต่อสื่ออย่างเป็นเรื่องเป็นราว
เจ้าหญิงมาโกะ (ซึ่งปัจจุบันได้สละฐานันดรแล้ว) ได้กล่าวอย่างอ่อนน้อมนุ่มนวลแต่มั่นใจว่า ท่านขอบคุณกับทุกคนที่ให้กำลังใจและห่วงใย ถึงขนาดเป็นกังวลต่อข่าวคราวเกี่ยวกับคนรักของท่าน และท่านได้ย้ำว่า สำหรับคนรักของท่านนั้น เป็นบุคคลที่ทดแทนไม่ได้อีกแล้ว (Irreplaceable) ซึ่งท่านได้แน่วแน่ที่จะอยู่ร่วมกับเขา
ส่วนเจ้าบ่าวก็เตรียมแถลงมาอย่างดีว่า เขามีชีวิตแค่เพียงครั้งเดียว และต้องการอยู่กับคนรักคนเดียวนี้ตลอดไป แม้จะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายมาก็ตาม
อีกราชวงศ์ที่ซาอุดีฯ ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่มีอายุไม่ถึง 100 ปี แต่มั่งคั่งจากการค้นพบบ่อน้ำมันซึ่งในรายการ 60 นาที (60 minutes) ทางสถานีซีบีเอสเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีการให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรกของอดีตหัวหน้าข่าวกรองใหญ่ของซาอุฯ ชื่อดร.ซาอัด (Dr.Saad al Jabri) ตอนนี้พำนักแบบลี้ภัยอยู่ที่แคนาดา เปิดเผยถึงการวางแผนปลงพระชนม์อดีตกษัตริย์อับดุลลาห์ โดยรัชทายาทองค์ปัจจุบันคือ เจ้าชายเอ็มบีเอส (Mohammed bin Salman) ในช่วง 2013-14 โดยขณะนั้นกษัตริย์อับดุลลาห์ทรงมีรัชทายาทเป็นพระอนุชาชื่อเจ้าชายซัลมาน (เป็นพระบิดาของเอ็มบีเอส) นั่นเอง และเจ้าชายเอ็มบีเอส ได้พบกับเจ้าชายนาเยฟ (Nayef) ซึ่งเป็นอาของเอ็มบีเอส และได้เล่าว่า เขาพร้อมปลงพระชนม์กษัตริย์อับดุลลาห์ (เป็นลุงของเอ็มบีเอส) เพื่อให้พระบิดาของเอ็มบีเอสขึ้นมาเป็นกษัตริย์ได้ทันที โดยเอ็มบีเอสได้พูดกับเจ้าชายนาเยฟว่า เขาได้สั่งซื้อแหวนพิเศษที่อาบยาพิษ และเขาจะสวมแหวนนั้นขณะเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อสัมผัสจับมือกษัตริย์อับดุลลาห์ ก็จะทำให้พิษเข้าสู่ร่างกายกษัตริย์และสวรรคตได้ทันที
ดร.ซาอัด ได้แอบบันทึกเทปการพบกันครั้งนั้นไว้ และต่อมาอับดุลลาห์ก็สวรรคตในปี 2015 ด้วยการประชวรและกษัตริย์ซัลมานก็ขึ้นครองราชย์ทันที
กษัตริย์ซัลมานได้ตั้งพระอนุชา (ต่างมารดา) คือเจ้าชายนาเยฟ เป็นองค์รัชทายาท (ตามคำสั่งเสียของปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ซาอุฯ ว่า พระโอรสทุกพระองค์ของท่าน จะได้ขึ้นครองราชย์)...แต่เพียงพักเดียว, เอ็มบีเอสก็รีบจัดการให้กษัตริย์ซัลมาน (ซึ่งมีพระพลานามัยแย่มาก รวมทั้งอัลไซเมอร์) ถอดมกุฎราชกุมารนาเยฟออก แล้วตั้งเอ็มบีเอสเป็นมกุฎราชการ (เป็นการผิดประเพณี)...และเอ็มบีเอสได้ประกาศสงครามกับเยเมน (จน 5 ปีมาแล้วก็ยังคาราคาซังอยู่) รวมทั้งได้ใช้กลอุบายเชิญเจ้านายผู้ใหญ่ และข้าราชการสำคัญๆ มากักบริเวณที่โรงแรมริชส์ เชอราตัน เพื่อบังคับปลดทรัพย์สินจำนวนมากมาให้เอ็มบีเอส...รวมทั้งการกำจัดฝ่ายค้านทั้งที่เป็นสมาชิกราชวงศ์, สื่อ ซึ่งการสั่งฆ่าคาช็อกกีที่สถานกงสุลที่ตุรกีอย่างโหดเหี้ยมได้เกิดขึ้น
ดร.ซาอัดเองก็กำลังถูกหมายหัว จากที่กำความลับมากมายของเอ็มบีเอส ซึ่งลูกของดร.ซาอัด ก็ถูกจับเข้าคุกทรมานที่ซาอุฯ เพื่อกดดันให้ดร.ซาอัด กลับมาถูกดำเนินคดีที่ซาอุฯ ด้วยข้อกล่าวหาร้ายแรงต่างๆ