วันนี้...สงสัยคงต้องย้อนกลับไปดูฉากสถานการณ์ในประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง อย่างประเทศเมียนมาหรือพม่า กันอีกสักตั้งนั่นแหละทั่น!!! ว่าสุดท้ายแล้ว...ยังคิดจะยาว จะใหญ่ แบบประเภท “พระพม่า” ไปได้ถึงขั้นไหน? เพราะในช่วงระหว่างการประชุมอาเซียน ซัมมิต ครั้งที่ 38 เมื่อวันอังคาร (26-28 ต.ค.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยมีประเทศบรูไนเป็นเจ้ากี้ เจ้าการ เมื่อกล้องวิดีโอจำต้องแพนไปยังที่นั่ง ที่ยืนของประเทศพม่า ปรากฏว่า...ออกไปทางบ๋อๆ แบ๋ๆ ไม่มีอะไรใหญ่ๆ ยาวๆ หรือแทบไม่มีโอกาสได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใต้จีวรของพระพม่า เอาเลยแม้แต่น้อย...
หรือสรุปง่ายๆ ว่า...ด้วยเหตุที่บรรดาประเทศอาเซียนเกือบ 10 ประเทศ เกิด “ฮึด” อะไรขึ้นมาก็มิอาจสรุปได้ชัดเจน แต่ก็ได้ป่าวประกาศว่าไม่คิดจะเชิญผู้นำทางทหาร “เผด็จการพม่า” อย่าง พลเอกอาวุโส “มิน อ่อง หล่าย” เข้ามาร่วมเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ ในที่ประชุมอาเซียนคราวนี้โดยเด็ดขาด หลังจากเมื่อครั้งการประชุมคราวก่อน ประเทศอาเซียทั้ง 10 ประเทศ รวมทั้ง “พลเอกมิน อ่อง หล่าย” ที่เข้าร่วมประชุมคราวนั้นด้วย พร้อมที่จะแสดงความยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์ จนกลายมาเป็น “ฉันทามติ 5 ข้อ” (A Five-Point Consensus) ว่าจะหาทางยุติความรุนแรง ความขัดแย้งภายในประเทศพม่า เปิดโอกาสให้เกิดการเจรจาหารือกับทุกๆ ฝ่าย รวมทั้งเปิดโอกาสให้ “ตัวแทนพิเศษอาเซียน” อย่างรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศบรูไน “นายErywan Pehin Yusof” มีโอกาสได้เจอะเจอกับอดีตผู้นำรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย อย่างประธานาธิบดี “วิน มินต์” หรือ “นางอองซาน ซูจี” แบบตัวเป็นๆ อีกด้วยต่างหาก...
แต่เอาไป-เอามา...ก็อย่างที่พอรู้ๆ กันไปแล้วนั่นแหละว่า “เผด็จการกระด้างภัณฑ์” อย่างพม่านั้น ค่อนข้างจะหนักไปทาง “ดื้อฉิบหาย” คือไม่คิดสนใจโลก สนใจประเทศต่างๆ มานานแล้ว จนเคยได้ชื่อ ฉายา ประมาณฤาษีชีไพรไปโน่นเลย การอ้างว่าอดีตผู้นำรัฐบาลประชาธิปไตย “ป่วย” หรือยังเป็น “ผู้ต้องหา” คดีอยู่ในศาล ก็เลยไม่ได้คิดจะทำตาม “ฉันทามติ 5 ข้อ” ซะยังงั้น!!! ดังนั้น...การตัดสินใจไม่เชื้อเชิญพลเอกอาวุโส “มิน อ่อง หล่าย” มาร่วมประชุมอาเซียนคราวนี้ จึงต้องถือเป็นการแสดงออกแบบนิ่มๆ อย่างถึงที่สุดแล้ว สำหรับความดื้อฉิบหายของพม่า และแม้ว่าก่อนหน้าการประชุมไม่กี่วัน รัฐบาลเผด็จการทหารจะพยายามยืดๆ หยุ่นๆ ขึ้นมามั่ง ด้วยการ “นิรโทษกรรม” นักโทษการเมืองถึง 5,600 คน แต่มันก็ออกจะ...สายไปซะแล้ว!!!
ดังนั้น...โดยสถานะของเผด็จการพม่าในทุกวันนี้ ต้องเรียกว่า...โดดเดี่ยว โฮมอโลนเอามากๆ แม้จะพยายามบุกไปรัสเซียหันไปซบตักจีนยังไงก็แล้วแต่ แต่คงไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาสักกี่มาก-น้อย เพราะทั้งจีนและรัสเซีย ไม่เพียงแต่ต้องพยายามอยู่ร่วมโลกโดยสันติ ยังต้องแบกภาระในการ “เปลี่ยนโลก” จากโลกขั้วอำนาจเดียว มาเป็นโลกหลายขั้วอำนาจ ให้จงได้ การทำอะไรที่เกินขอบเขต เลยขอบเขตแห่งความถูกต้อง ชอบธรรม จึงย่อมต้องมี “ข้อจำกัด” อยู่เป็นธรรมดา อีกทั้งการคบหากับฝ่ายประชาธิปไตยในพม่ามาโดยตลอดนั้น ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ โดยเฉพาะต่อรัฐบาลจีน เผลอๆ...อาจสบายอก-สบายใจซะยิ่งกว่าการต้องเจอกับ “ความหวาดระแวง” ของบรรดาทหารพม่าซะอีกด้วย...
ความโดดเดี่ยว โฮมอโลน ในลักษณะเช่นนี้...จึงเป็นอะไรที่หนักหนา-สาหัส ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ สำหรับเผด็จพม่าและผู้นำอย่างพลเอกอาวุโส “มิน อ่อง หล่าย” ที่ออกจะถนัดในเรื่องเงินๆ-ทองๆ เรื่อง “ธุรกิจ” มาโดยตลอด ไม่ได้สะสมความเหี้ย...มม์ม์ม์ระดับ “ม.ม้า” ตามไม่ทันแบบเผด็จการยุคก่อนๆ ยิ่งเมื่อเจอกับ “ค่าเงินจั๊ต” ที่ไหลทะรูดทะราด จากที่เคยมีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ประมาณ 1,300 กว่าๆ ต่อ 1 ดอลลาร์ มาบัดนี้...ปาเข้าไปถึง 2,400-2,700 จั๊ตต่อ 1 ดอลลาร์ หรือไหลทะรูดทะราดไปถึง 60 กว่าเปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย ส่งผลให้ข้าว-ของแพง อัตราเงินเฟ้อที่เคยอยู่ที่ประมาณ 1.51 เปอร์เซ็นต์ก่อนหน้าการรัฐประหาร พุ่งขึ้นมาถึง 6.51 เปอร์เซ็นต์ ภายในช่วงเวลาประมาณ 8 เดือนเท่านั้นเอง แถมยังแทบไม่เหลือ “เงินสด” ติดมือ โดยเฉพาะเงินดอลลาร์ ชนิดถึงขั้นต้องออกประกาศ “ห้ามนำเข้ารถยนต์ส่วนบุคคล” จากต่างประเทศ ไปเมื่อช่วงวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อสงวนเงินดอลลาร์ไว้ใช้ภายในประเทศ ภาวะเงินสดขาดแคลน ร้านขายทอง ร้านแลกเปลี่ยนเงินตรา หรือแม้กระทั่งธนาคารบางแห่งต้องปิดตัวเอง ฯลฯ ถือเป็นภาพสะท้อนความหนักหนา-สาหัสต่างๆ ได้เป็นอย่างดี...
นั่นยังไม่รวมไปถึงการถอนตัวของนักธุรกิจ นักลงทุน ที่พร้อมใจเดินพาเหรดออกจากพม่ากันเป็นทิวแถว ไม่ว่าจะพยายามสร้างความมั่นอก-มั่นใจต่อการลงทุนเพียงใดก็แล้วแต่ ล่าสุด...โรงแรมระดับ 5-6 ดาว อย่าง “Kempinski Hotel” ที่เคยใช้ต้อนรับอดีตประธานาธิบดี “โอบามา” มูลค่าก่อสร้างประมาณ 45 ล้านดอลลาร์ก็ประกาศปิดตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริษัทยาสูบอเมริกัน-อังกฤษ ก็ประกาศถอนตัวจากตลาดพม่าภายในสิ้นปีนี้ ขณะบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมของเวียดนามที่จับมือกับทหารพม่าอย่างแน่นเหนียวมาโดยตลอด ก็ดันถูกพวกนักประชาธิปไตยฝ่ายต่อต้านเผด็จการ ก่อวินาศกรรมอุปกรณ์เครื่องมือ-เครื่องใช้ จนชักเริ่มเบื่อๆ ต่อการร่วมลงทุนในพม่าอย่างเห็นได้โดยชัดเจน ฯลฯ ฯลฯ...
ยิ่งถ้าหากพูดถึงฉากสถานการณ์ในแง่การเมือง-การทหาร ยิ่งหนักหนา-สาหัสหนักขึ้นไปใหญ่!!! คือไม่ใช่แค่เจอกับบรรดาพวก “ชนชาติส่วนน้อย” ที่เคยสู้กันมาโดยตลอดนับเป็นทศวรรษๆ เริ่มหันมาเปลี่ยนอก-เปลี่ยนใจ เปลี่ยนจากการวางอาวุธหันมาจับอาวุธลุกขึ้นสู้กันใหม่ ชนิดเป็นแผงๆ เป็นภาคๆ เล่นเอากองทัพพม่ากรอบเป็นข้าวเกรียบในหลายจุด หลายพื้นที่ถึงขั้นต้องออกคำสั่ง “ปลด” ผู้บัญชาการทหารบางพื้นที่ที่ “รบแพ้” ไปเลยก็มี แต่ยังดันต้องเจอกับพวก “PDF” หรือกองกำลังติดอาวุธ “People’s Defence Force” ภายใต้การบัญชาการของรัฐบาลเงา หรือรัฐบาล “Myanmar’s National Unity Government” ที่ได้เปิดฉากสมรภูมิใหม่ๆ และกรรมวิธีใหม่ๆ ซึ่งบรรดาทหารพม่าไม่เคยได้พบ ได้เห็น มาก่อนเลย เช่น การโจมตีภายในตัวเมือง การก่อวินาศกรรมสถานที่ราชการและธุรกิจ ไปจนถึงการปล้นแบงก์ การออกพันธบัตรเงินกู้มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อหาเงินมาสู้กับกองทัพพม่า อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ...ฯลฯ ฯลฯ...
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละ...ที่ทำให้แม้แต่พรรคการเมืองที่เป็นแนวร่วมใกล้ชิดกับทหารพม่ามาโดยตลอด อย่างพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา หรือ “USDP” ถึงกับต้องออกมาเรียกร้อง ให้รัฐบาลเผด็จการลดความดื้อลงไปมั่ง หรือเสนอให้หาทางเจรจากับบรรดาพวกนักประชาธิปไตย ผู้ต่อต้านเผด็จการ หรือผู้เกี่ยวข้องในทุกๆ ฝ่าย แบบเดียวกับข้อเสนอของอาเซียนนั่นเอง แต่ก็นั่นแหละ...รัฐบาลเผด็จการพม่าก็ยังคงดื้อฉิบหาย หรือได้ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะนำไปสู่ความฉิบหายแบบไหน อย่างไร และเมื่อไหร่อีกต่อไปนั้น คงต้องคอยสำรวจ ตรวจสอบกันไปเป็นระยะๆ...
อย่างไรก็ตาม...จะด้วยความหนักหนา-สาหัสของสถานการณ์ภายในประเทศพม่า ด้วยความเอาจริง-เอาจังของฝ่ายต่อต้านเผด็จการ หรือด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ นายกสมาคม “เสือก” กิตติมศักดิ์ อย่างคุณพ่ออเมริกา ก็เริ่มหันมายื่นบัตรสมาชิกอย่างเป็นทางการ เริ่มหันมาแสดงตัว หรือแสดงความเสือกอย่างเป็นระบบกันมั่งแล้ว นั่นก็คือการนัดพบ นัดเจรจา ระหว่างที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายเจค ซุลลิแวน” (Jake Sullivan) กับตัวแทนรัฐบาลเงา “NUG” ในช่วงเมื่อไม่กี่วันมานี้ ซึ่งนั่นอาจทำให้ความดื้อฉิบหาย อันนำไปสู่ความยุ่งฉิบหาย ยิ่งมีแต่ยุ่ง...กับ...ยุ่ง หรือฉิบหาย...กับ...ฉิบหายหนักขึ้นไปอีก เพราะภายใต้ความพยายาม “แทรกแซงภายใน” อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการเช่นนี้ ย่อมมีแต่จะกลายเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการถือหาง-ถือข้าง หรือเกิดแรงดึงดูดให้มหาอำนาจรายอื่นๆ ไม่อาจนิ่งนอนใจต่อไปได้ โอกาสที่ฉากสถานการณ์ในพม่าจะวิวัฒนาการไปสู่ฉากสถานการณ์เดียวกับซีเรีย อิรัก หรือลิเบีย ฯลฯ จึงใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย และนั่นย่อมนำมาซึ่งความฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ...นั่นแล!!!