ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องไปหาเรื่องที่น่าจะ “เบาๆ” ขึ้นมาสักหน่อยๆ เพื่อไม่ให้ถึงกับต้อง “เคียดเด้อ” หรือ “เครียดฉิบหาย” กันไปโดยตลอด ซึ่งเท่าที่เห็น เท่าที่น่าสนใจ น่าจะหนีไม่พ้นจากเรื่องความเคลื่อนไหวแปลกๆ ใหม่ๆ ที่อุบัติขึ้นมาในเมืองจีน โดยเฉพาะในช่วงหลังๆ นี้...
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกระทรวงศึกษาฯ ของคุณพี่จีน ท่านสั่งห้ามไม่ให้โรงเรียนต่างๆ จัดให้มีการสอบข้อเขียน สำหรับเด็กเล็กๆ อย่างเด็ก ป.1-ป.2 นัยว่าเพื่อช่วยลดแรงกดดันให้กับบรรดาเด็กๆ ให้ไม่ต้องเส้นประสาทแตกตายไปก่อนเวลาอันควร อะไรประมาณนั้น หรือถึงกับชี้แนะ ชี้นำ ให้บรรดาโรงเรียนระดับมัธยมทั้งหลาย พยายามควบคุม “ความยาก” ในการออกข้อสอบสำหรับบรรดาเด็กๆ ในแต่ละราย ให้พอ “สมเหตุ-สมผล” กับความเป็นแค่เด็กมัธยม ไม่ใช่เด็กมหาวิทยาลัย เด็กปริญญาตรี ปริญญาโท ฯลฯ ที่พร้อมจะ “เคียดเด้อ-เครียดฉิบหาย” กันไปในแต่ละระดับ...
หรือเรื่องที่ทางการจีนหมู่นี้...ท่านชักเข้ามายุ่งเกี่ยวกับบรรดาพวกศิลปิน ดารา อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการพอสมควร เช่น การไล่งาบ ไล่งับ หรือ “ไล่แบน” บรรดาอดีตดาราดังๆ เช่น “ฟ่านปิงปิง” “จ้าวเวย” “หลินซินหยู” ฯลฯ ที่เคยร่วมกันแสดงหนัง แสดงละครมินิซีรีส์ เรื่อง “องค์หญิงกำมะลอ” อันโด่งดังเป็นพลุแตก เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว โดยบรรดาดาราเหล่านี้จะไปสร้างความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวเท้า หรือไป “Call Out” ในลักษณะหนึ่ง ลักษณะใด ก็มิอาจทราบได้ แต่เท่าที่รู้ๆ ก็คือต่างก็ถูก “เด็ดหัว” กันไปเป็นรายๆ เช่น ต้องเจอกับการเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ชนิดอาจต้องหาทางย้ายประเทศเอาเลยถึงขั้นนั้น ถูกระงับการใช้โซเชียล มีเดีย ถูกลบทิ้งผลงานการแสดงออกจากเว็บไซต์ต่างๆ ไปจนถึงถูกระงับการดำเนินการของบริษัทส่วนตัว ฯลฯ เอาเลยก็ยังมี...
และก็คงไม่ใช่แต่เฉพาะพวกเด็กๆ หรือดารง ดารา เท่านั้น...ที่เป็นที่สนอก-สนใจของทางการจีนในช่วงหลังๆ นี้ แต่ยังรวมไปถึงบรรดาพวกนักธุรกิจ พวก “นายทุน” ระดับเบ้งๆ จำนวนไม่น้อย ที่ถูกตามล้าง ตามเช็ด อย่างเป็นกิจจะลักษณะ เช่น บริษัท “Alibaba” ของคุณพี่ “แจ๊ค หม่า” ที่ถูกสั่งปรับเป็นเงินถึง 2,750 ล้านดอลลาร์ ถูกเตะตัดขา สกัดกั้นการเติบใหญ่ จนแทบต้องเปลี่ยนเป็น “แจ๊ค (เสีย) หมา” เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือบริษัทแอปพลิเคชันเรียกรถแท็กซี่ที่ยอดนิยมเอามากๆ ถึงขั้นกำลังคิดเอาหุ้นเข้าไปขายในตลาดหลักทรัพย์อเมริกัน อย่าง “Didi Chuxing” เห็นว่าถูก “สั่งหยุดให้บริหาร” เอาดื้อๆ ซะยังงั้น!!! และก็คงไม่ใช่แต่เฉพาะนักธุรกิจ นายทุน แค่ราย-สองราย ที่ถูกไล่ฟัด ไล่บี้ อยู่ในขณะนี้ เพราะถ้าว่ากันตามข่าวคราวที่อ้างถึงการประชุมคณะกรรมการกลาง “พรรคคอมมิวนิสต์จีน” ครั้งที่ 21 เมื่อไม่นานนี้ ว่ากันว่า...ผู้นำจีนอย่างท่านประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ถึงกับเริ่มออกอาการ “สี ทนไม่ได้” หรือต้องเริ่มหันมาให้ความสำคัญ ต่อการออกกฎระเบียบและกฎหมาย เพื่อที่จะ “ต่อต้านการผูกขาด” และ “การค้า-การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม” ตลอดไปจน “การปกป้องสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภค” ให้เป็นจริง-เป็นจัง ขึ้นมาให้จงได้!!!
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่มันเลยทำให้เกิดการ “ตั้งคำถาม” ขึ้นมามิได้ ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นภายในสังคมจีน!!! ถึงได้ส่งผลให้บรรดาข่าวแปลกๆ ใหม่ๆ ทำนองนี้ ถึงได้ทยอยออกจากเมืองจีนอย่างเป็นระลอก โดยผู้ที่พยายาม “ตอบคำถาม” ในเรื่องนี้ได้อย่างน่าคิด น่าสะกิดใจ และน่าสนใจเอามากๆ เห็นจะเป็น “คอลัมนิสต์” รายหนึ่ง ของหนังสือพิมพ์หรือของเว็บไซต์ “โพสต์ ทูเดย์” ในบ้านเรานี่เอง หรือผู้ใช้นามว่า “กรกิจ ดิษฐาน” ที่ได้พยายามวิเคราะห์ สังเคราะห์ เอาไว้ในข้อเขียน บทความเรื่อง “ได้กลิ่นปฏิวัติโชยมาแต่ไกลในจีน” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง ใครที่สนใจรายละเอียดคงต้องไป “คลิก” อ่านกันเอาเอง โดยจะจริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ...คงต้องถือเป็นอีกเรื่อง แต่ถ้าว่ากันโดยเหตุผล ข้ออ้าง ต้องถือว่าออกจะมี “น้ำหนัก” มิใช่น้อย...
คือโดยสรุปคร่าวๆ ประมาณว่า...ด้วยการอ้างอิงถึงข้อคิด ข้อเขียน ของชาวจีนรายหนึ่ง ผู้ใช้ชื่อว่า “หลี่กวงหม่าน” ที่ยังไม่รู้เป็นใครกันแน่ แต่จากข้อคิด ข้อเขียน ดังกล่าวนี่แหละ ได้ถูกนำไปเผยแพร่ในบรรดา “สื่อทางการ” ของจีน อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ ไม่ว่าใน “พีเพิลส์ เดลี”, “ซินหัว”, “CCTV”, “ไชนา ยูธ เดลี”, “ไชนา นิวส์ เซอร์วิส” ฯลฯ จนแทบไม่ต่างอะไรไปจากการชี้แนะ ชี้นำ อย่างเป็นทางการของ “จัดตั้งเมืองจีน” อะไรทำนองนั้น โดยพยายามสรุปให้เห็นว่า กำลังจะเกิดการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หรือระดับ “ปฏิวัติ” (เก๋อมิ่ง) เอาเลยถึงขั้นนั้น ภายในแวดวงต่างๆ ในเมืองจีน ไม่ว่าจะเป็นแวดวงการศึกษา บันเทิง ธุรกิจ ไปจนถึงการเงิน-การทอง หรือแม้แต่ “การเมือง” เอาเลยก็ไม่แน่!!!
โดยแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ว่า...ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าความพยายามเพิ่มความเป็น “สังคมนิยม” ภายในเมืองจีน ให้แจ่มแจ้ง ชัดเจน ไปกว่าความเป็น “ทุนนิยม” ที่กำลังแพร่สะพัดและมีบทบาท อิทธิพล เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากการเปิดรับ “ระบบตลาด” มานานนับเป็นทศวรรษๆ หรือเป็นความพยายามที่จะควบคุม “ทุนนิยม” ไม่ให้ก่อให้เกิดความเละเทะ เลอะเทอะกับสังคมจีนในปัจจุบันและในอนาคตมากมายจนเกินไป อันน่าจะถือเป็น “แนวคิด” หรือ “แนวทาง” ของผู้คนระดับนำในพรรคคอมมิวนิสต์จีนยุคปัจจุบัน หรือของคนระดับ “สี จิ้นผิง” มาเอง...นั่นแล...
จริง-ไม่จริง...เชื่อ-ไม่เชื่อ อันนี้...ก็คงต้องลอง “คลิก” ไปหาอ่านบทความของคุณ “กรกิจ ดิษฐาน” ชิ้นนี้เอาเองก็แล้วกัน แต่โดย “น้ำหนัก” โดยเหตุ โดยผล คงต้องยอมรับว่า...ออกจะเป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจมิใช่น้อย โดยถ้าหากเป็นจริงตามนั้น...สิ่งที่เรียกว่า “สังคมนิยมที่มีลักษณะเฉพาะ” หรือ “สังคมนิยมแบบจีนๆ” หรือ “ทุนนิยมเผด็จการ” ไปจนถึง “คอมมิวนิสต์ที่ปรับสภาพตัวเองจนกลายเป็นนายทุน” ฯลฯ อะไรทำนองนั้น ก็อาจไม่ใช่แค่เรื่อง “ล้อเหล้น” หรือเรื่องที่จะหยิบเอามาพูดกันแบบขำๆ อีกต่อไป คืออาจออกไปทาง “คอมมิวนิสต์ฉบับของจริง-ของแท้” หรือแบบตรงตามแนวคิดต้นฉบับของปรมาจารย์เจ้าพ่อคอมมิวนิสต์ อย่าง “คาร์ล มาร์กซ์” ที่เอาเข้าจริงๆ แล้ว...อาจต่างไปจาก “เลนิน” “สตาลิน” “ทรอตสกี้” หรือแม้แต่ “เหมา” เอาเลยก็ไม่แน่!!!
ใครที่สนใจรายละเอียดตื้น-ลึก-หนา-บาง ในเรื่องทำนองนี้...อาจต้องลองไปควานหาหนังสือเรื่อง “มาร์กซ์และสังคมนิยม” ที่นักคิด นักวิชาการ และนักการทูต อย่างอาจารย์ “สุรพงษ์ ชัยนาม” ท่านได้เคยวิเคราะห์ สังเคราะห์ ตีความ และแปลความเอาไว้เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว มาลองเทียบเคียง มาลองประมาณการกันดู หรือสรุปง่ายๆ ว่า...โดยแนวคิดของเจ้าพ่อคอมมิวนิสต์ฉบับของจริง-ของแท้ อย่างคุณปู่ “คาร์ล มาร์กซ์” นั้น ท่านค่อนข้างเชื่อของท่านว่า...โดย “ธรรมชาติ” ความเป็นไปของสังคมมนุษย์แล้ว “ทุนนิยม” นั่นเอง...ที่จะเป็นตัวสร้าง “สังคมนิยม” และสร้าง “สังคมคอมมิวนิสต์” ขึ้นมาในท้ายที่สุด เพียงแต่จะต้องหาทาง “ควบคุมและบังคับ” ให้ทุนนิยมทั้งหลายต้องเป็นไปตามนั้น หรือต้องหาทาง “เผด็จการ” บรรดาทุนทั้งหลาย ให้ตอบสนองต่อความปรารถนาและความต้องการของ “มวลชนส่วนใหญ่” หรือของบรรดา “ชนชั้นกรรมาชีพ” ให้จงได้...
ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือท่านประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ท่านจะคิดไปในแนวนี้หรือไม่ อย่างไร หรือกำลังคิดจะ “ปฏิวัติ” คิดจะ “เก๋อมิ่ง” กันไปถึงขั้นไหน อันนี้...คงต้องลองไปติดตามกันเอาเอง เพราะยังไงๆ...ก็คงไม่เกี่ยวกับบ้านเรามากมายสักเท่าไหร่ เนื่องจากประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮานั้น ไม่ว่าจะ “ประชาธิปไตย” หรือ “เผด็จการ” ก็แล้วแต่ ล้วนแล้วแต่พร้อมที่จะ “เสร็จเจ้าสัว” หรือ “เสร็จนายทุน” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...นั่นแล...