เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องลองไปสำรวจตรวจสอบ สีสันบรรยากาศของการเตรียมพบปะเจรจา แบบชนิดเผชิญหน้าตัวต่อตัว ระหว่าง 2 อภิมหาผู้นำโลก คือระหว่าง “โจ ซึมเซา” หรือ “โจ สเตียรอยด์” ผู้นำอเมริกา กับผู้ที่ถูกชาวอเมริกันตั้งชื่อ ฉายา เอาไว้ประมาณว่า “นักฆ่า” หรือ “ฆาตกร” (Killer) อะไรทำนองนั้น นั่นก็คือประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” แห่งประเทศหมีขาวรัสเซียนั่นเอง...
ที่ได้ฤกษ์ ได้เวลา จะเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ กันในช่วงกลางสัปดาห์หน้า หรือช่วงวันที่ 16 มิ.ย. ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อันเป็นไปตามกำหนดการหลังจากที่ผู้นำอเมริกันได้แสดงความยอมรับต่อชื่อ ฉายา ว่า “นักฆ่า” ของผู้นำรัสเซียไปหมาดๆ แต่ก็ยังคงพร้อมที่จะยกหูโทรศัพท์ไปนัดหมายกับผู้นำรัสเซีย เมื่อช่วงเดือนเมษาฯ จนกลายมาเป็นกำหนดการพบปะแบบเจอหน้า เจอตา กันเป็นครั้งแรก นับจาก “ผู้เฒ่าโจ” ได้ผงาดขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ แทนที่ “ทรัมป์บ้า” ผู้ซึ่งต้องกลับไปนอนรับประทาน “แห้วกระป๋อง” อยู่ที่สนามกอล์ฟรีสอร์ต “มาร์-อา-ลาโก” จนตราบเท่าทุกวันนี้...
คือถ้าว่าจากมุมมองทางฝ่ายรัสเซีย...ก็คงเป็นไปตามแบบที่โฆษกรัฐบาลรัสเซีย “นายดมิตรี เพสคอฟ” (Dmitry Peskov) พูดๆ เอาไว้เมื่อช่วงวันศุกร์ที่แล้ว (4 มิ.ย.) นั่นแหละว่า ถือว่า “very, very important” หรือสำคัญเอามากๆ เพียงแต่ว่าไม่ควรที่จะไป “ตั้งความหวังใดๆ” ว่ามันจะเป็นไปในแง่บวก ไม่ว่าต่อชาวรัสเซีย ชาวอเมริกัน หรือต่อโลกทั้งโลก เพราะมันเป็นการพบปะเจรจา ภายใต้บรรยากาศดังที่อดีตนายกรัฐมนตรีรัสเซีย หรือรองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติคนปัจจุบัน “นายดมิตรี เมดเวเดฟ” (Dmitry Medvedev) สรุปเอาไว้สั้นๆ ง่ายๆ แต่ออกจะหนาวยะเยือก จนอาจต้องหรี่แอร์ ปิดแอร์อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือ...เป็นบรรยากาศที่เลวร้ายซะยิ่งกว่าช่วงวิกฤตสูงสุดของยุคสงครามเย็นในอดีต หรือช่วง “วิกฤตจรวดคิวบา” (Cuban Missile Crisis) เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
คือโดยมุมมองของอดีตนายกฯ รัสเซียรายนี้...ท่านคงไม่ได้คิดจะหยิบเอา “ปรากฏการณ์” แบบใด แบบหนึ่ง เป็นการเฉพาะมาใช้เป็นข้อสรุปถึงสีสันบรรยากาศ ทำนองนี้ ไม่ว่าจะเป็นการ “แซงชั่น” คราวแล้ว คราวเล่า ของคุณพ่ออเมริกาที่มีต่อองค์กร สถาบัน ตัวบุคคล ภายในประเทศรัสเซีย การหนุนหลังประเทศโน้น ประเทศนี้ ให้ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับประเทศหมีขาวอย่างเป็นระบบยิ่งเข้าไปทุกที แต่เป็นการมองในลักษณะแบบเป็น “กระบวนการ” ต่อเนื่องมาเป็นระยะๆ นั่นเอง คือนับจากมหาอำนาจคู่แข่งของอเมริกา อย่าง “สหภาพโซเวียต” ต้องถึงกาลล่มสลายกลายเป็นประเทศเล็ก ประเทศน้อย รวมทั้งหมดบทบาท อิทธิพล เท่าที่เคยมีต่อบรรดาประเทศยุโรปตะวันออกหลายๆ ประเทศเป็นต้นมา โดย “กระบวนการ” เหล่านี้นี่เองที่ทำให้ “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงของอเมริกา” เปลี่ยนไปสู่ความพยายามที่จะสร้างแรงกดดัน หรือพยายามที่จะรุกคืบเพื่อเล่นงานรัสเซียในทุกรูปแบบทุกๆ วิถีทาง จนก่อให้เกิดสีสันบรรยากาศ ที่ “เลวร้ายยิ่งกว่ายุควิกฤตจรวดคิวบา” อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้...
ด้วยเหตุนี้...จึงส่งผลให้ประเทศหมีขาวรัสเซีย ที่อภิมหาเหยี่ยวข่าวรุ่นเก๋าชาวอังกฤษ อย่าง “ทิม มาร์แชล” (Tim Marshall) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Prisoners of Geography-ten maps that tell you everything you need to know about global politic” อันโด่งดังไปในระดับทั่วทั้งโลก เคยระบุเอาไว้อย่างชัดเจน ตรงไป-ตรงมา ว่าถือเป็นหมีขาวที่ “ดุ” เอามากๆ จึงเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องส่งเสียงคำราม แสยะเขี้ยว อย่างชนิดน่าขนพองสยองขวัญยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หรืออย่างที่เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติรัสเซีย “นายนิโคไล ปาตรูเชฟ” (Nikolia Patrushev) ได้บอกกล่าว หรือได้ให้สัมภาษณ์พิเศษไว้กับหนังสือพิมพ์ “Rossiyskaya Gazeta” เมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั่นแหละว่า...รัสเซียคงไม่ได้คิดจะหันไปใช้วิธี “แซงชั่น” ต่อบรรดาประเทศที่พยายามแสดงออกถึงความเป็นปฏิปักษ์กับรัสเซีย หรือ “ประเทศที่ไม่เป็นมิตร” แบบเดียวกับที่ประเทศอเมริกาชอบนำมาใช้อยู่บ่อยๆ แต่อาจหันไปใช้ “กำลังโดยตรง” เอาเลยก็ไม่แน่!!!
ดังนั้น...ความพยายาม “รุกคืบ” ต่อรัสเซีย ไม่ว่าด้วยกรรมวิธีแบบที่เรียกๆ กันว่า “สงครามลูกผสม” (Hybrid Warfare) คือมีทั้งใช้กองกำลัง ใช้มวลชน ใช้อาวุธในแต่ละรูป แต่ละแบบ ที่มักปรากฏอยู่ในแถบประเทศแนวชายแดนรัสเซียอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าในจอร์เจีย ยูเครน ลามไปถึงเบลารุส ฯลฯ ไปจนถึงการแสดงออกถึงความไม่เป็นมิตรต่อรัสเซียในประเทศอย่างสาธารณรัฐเช็ก โปแลนด์ โรมาเนีย นอร์เวย์ ฯลฯ อะไรประมาณนี้ อาจต้องหรี่แอร์ ปิดแอร์กันไปเป็นระยะๆ เพราะอย่างที่เหยี่ยวข่าวชาวอังกฤษ “ทิม มาร์แชล” สรุปเอาไว้แล้วนั่นแหละว่า โดยลักษณะทางแผนที่ หรือโดยภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิศาสตร์กายภาพ ตลอดไปจนสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเอาเลยก็ว่าได้ ที่ทำให้ “หมีขาว” ตัวนี้ ออกอาการ “ดุ” มาโดยตลอด จะไปแหย่ “หมีหลับ” หรือแหย่ “เสือหลับ” คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรือเรื่องน่าปลอดภัยมากมายสักเท่าไหร่...
อย่างไรก็ตาม...สิ่งที่ทำให้หมีขาวรัสเซีย ชักจะดุขึ้นๆ ในช่วงหลังๆ นี้ น่าจะหนีไม่พ้นไปจากความมั่นอก-มั่นใจ ต่อสถานภาพของประเทศรัสเซีย ไม่ว่าทางการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร โดยเฉพาะในแง่ของการร่วมเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” อันแน่นเหนียว หนึบหนับกับอภิมหาอำนาจคู่แข่งของอเมริกาอีกรายหนึ่ง นั่นก็คือคุณพี่จีนนั่นเอง ชนิดที่ทำให้หลังจากการพบปะเจรจา ระหว่างผู้รัสเซียและผู้นำอเมริกา อีกแค่ไม่กี่วัน ก็จะได้ฤกษ์ ได้เวลา ที่รัสเซียจะได้จัดให้มีการประชุมความมั่นคงระดับโลกขึ้นในกรุงมอสโก นั่นคือการประชุม “The Moscow Conference on International Security” ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายน โดยมีผู้นำทางทหารจากอย่างน้อย 49 ชาติในโลกนี้ เข้าประชุมหารืออย่างพร้อมเพรียงกัน นั่นเอง...
และในการประชุมครั้งนี้นี่แหละ...ที่รองรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย “พลเอกอเล็กซานเดอร์ โฟมิน” (Alexander Fomin) ได้ออกมาป่าวประกาศเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าการประชุมคราวนี้...ถือเป็นการประชุมครั้งสำคัญเอามากๆ เนื่องจากเป็นช่วงระยะเวลาที่บรรดาชาวโลกทั้งหลาย จะมีส่วนได้ร่วมเป็น “ประจักษ์พยาน” ถึงการเปลี่ยนผ่านจาก “ระเบียบโลก” แบบเดิมๆ ไปสู่ “ระเบียบโลกใหม่” (The New World Order) ด้วยเหตุเพราะโลกยุคนี้...ได้เข้าสู่ช่วงภาวะแห่ง “สงครามเย็นยุคใหม่” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จนกลายเป็นโลกที่เกิดการ “แบ่งเขา-แบ่งเรา” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน อีกทั้งการก่อเกิดของ “อาวุธชนิดใหม่” ที่มีความรุนแรงระดับสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อ “สมดุลทางอำนาจ” หรือทำให้โฉมหน้าของสงครามถูกยกระดับไปสู่ขอบเขตใหม่ๆ ไม่ว่าในอวกาศ หรือในไซเบอร์สเปซ ฯลฯ และสิ่งเหล่านี้นี่เอง...ที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหลักการและวิธีการในการรับมือสงครามแห่งอนาคต...
ส่วน...อะไร??? ที่หมายถึง “ระเบียบโลกแบบใหม่” ในความหมายของรัสเซีย อันนี้...ดูเหมือนว่า “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” ของหมีขาวตัวนี้ อย่างพญามังกรจีน ก็เคยได้อธิบายรายละเอียดเอาไว้แล้วล่วงหน้า ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมปี ค.ศ. 2016 โน่นเลย หรือช่วงที่ผู้นำจีน ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ไปเปิดอกพูดจาปราศรัยกับบรรดาสมาชิกพรรคอมมิวนิสต์ ในช่วงครบรอบ 95 ปีของการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ด้วยคำพูดที่ว่า... “โลกกำลังอยู่ริมขอบเหวแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง และเรากำลังได้เป็นประจักษ์พยานต่อการล้มละลายของกลุ่มประเทศมหาอำนาจอย่างอียู และอภิมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และนี่เองที่จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของระเบียบโลกแบบเดิมๆ โดยอีกประมาณ 10 ปีนับจากนี้ เราจะมีโอกาสได้เห็นระเบียบโลกอีกแบบหนึ่งที่ไม่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ อันมีกุญแจสำคัญที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงขึ้นมาได้ นั่นคือ...ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับรัสเซีย”...
โดยจะนำไปสู่... “ระเบียบโลกที่ไม่ควรถูกตัดสินวินิจฉัยโดยประเทศหนึ่ง ประเทศใด หรือแค่กลุ่มประเทศไม่กี่ราย แต่ควรมาจากรูปคณะกรรมการซึ่งเกิดขึ้นบนพื้นฐานข้อตกลงนานาชาติ และประชาชนของทุกประเทศควรได้มีส่วนร่วมในการตัดสินว่า ระเบียบระหว่างประเทศและการบริหารจัดการโลกจะสามารถยังประโยชน์ให้กับโลกและประชาชนในทุกประเทศได้อย่างไร ระเบียบโลกที่เป็นไปในทางที่เป็นธรรมยิ่งขึ้น มีเหตุผลยิ่งขึ้น ด้วยการร่วมกันเปลี่ยนแปลงแรงกดดันจากการถูกกระทำให้กลายเป็นพลังอำนาจ แปรเปลี่ยนความเสี่ยงให้กลายเป็นโอกาส แทนที่การเผชิญหน้ากันและกันให้กลายไปเป็นความร่วมมือ ขจัดลบล้างการผูกขาดด้วยการอาศัยข้อตกลงที่จะนำมาซึ่งชัยชนะด้วยกันทุกฝ่าย...ฯลฯ” และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...เลยทำให้การเจอกันแบบตัวเป็นๆ ของ 2 ผู้นำอภิมหาอำนาจคราวนี้ มันจึง “very, very important” ไปด้วยประการละฉะนี้...แล…