ผู้จัดการรายวัน 360 - “พชร”ประธาน ก.อ. คนใหม่ ประกาศฟื้นฟูความเชื่อมั่นศรัทธาองค์กรอัยการ ลั่นคดี "บอส” สอบเจอใครฟันหมด เนตร-อัยการ ช.ช้าง มีหนาว หากพบทุจริตไม่จบแค่วินัย พร้อมส่งให้ ป.ป.ช. เชือดต่อ
วานนี้ (2 มิ.ย.) นายพชร ยุติธรรมดำรง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) กล่าวว่า ในวันที่ 9 มิ.ย. 64 จะเป็นการประชุมวาระแรกที่ตนเข้าดำรงตำแหน่งประธาน ก.อ. โดยจะเข้าไปรับทราบภารกิจของคณะกรรมการ ก.อ. ที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ในเรื่องการบริหารงานบุคคล หรือการวางกรอบนโยบายต่างๆ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน ตามอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการในเรื่องการดำเนินคดีอาญา ช่วยเหลือประชาชน และเป็นที่ปรึกษาหน่วยงานของรัฐตามกฎหมาย เพื่อให้พนักงานอัยการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอิสระ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ส่วนนโยบายที่จะเน้นย้ำเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องภาพลักษณ์ขององค์กรอัยการให้ฟื้นความเชื่อมั่นศรัทธา เนื่องจากปัจจุบันภาพลักษณ์ของสำนักงานอัยการสูงสุด ในการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนมีข้อสงสัย เมื่อมีเหตุข้อสงสัยของประชาชนแล้ว และมีปัญหาขึ้นมา ดังนั้น ตนคิดว่า ทางสำนักงานอัยการสูงสุดจะต้องมีเหตุผลชี้แจงให้กับประชาชน ว่าการทำหน้าที่ของอัยการบางคนนั้นทำถูกต้องตามกฏหมายและระเบียบหรือไม่ สามารถชี้แจงต่อสังคมได้ ว่าเรื่องที่เกี่ยวกับองค์กรที่เกิดขึ้นมันเป็นอย่างไร โดยการให้ข้อคิดเห็นจะต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่เข้ามาถึงมือของผู้บังคับบัญชาแล้ว
สำหรับความคืบหน้าการสอบสวนความผิดวินัยชั้นต้น นายเนตร นาคสุข อดีต รอง อสส. กรณีสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต ที่สังคมมองไม่มีความคืบหน้านั้น นายพชร กล่าวว่า ในวันประชุม ก.อ.ครั้งแรกตนจะต้องเรียนถาม อัยการสูงสุด หรือ นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ ก.อ.ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นประธานสอบและมีการเปลี่ยนจนมาเป็นคนที่ 3 แล้ว ว่าการสอบสวนได้ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว ซึ่งตนก็ทราบมาว่านอกจากคณะกรรมการชุดนี้แล้วยังมีการตั้งคณะกรรมการอีก 2 ชุด จึงต้องนำทั้ง 3 เรื่องมาพิจารณา และต้องเร่งรัดให้มีการสอบสวนให้เร็วขึ้น
ในส่วนของนายเนตร จะเข้าชี้แจงหรือไม่ ไม่ก้าวล่วง เป็นเรื่องของคณะกรรมการสอบสวนที่จะต้องเรียกนายเนตรมาชี้แจง แล้วก็มาพิจารณากันว่าที่ชี้แจงมาเป็นอย่างไร และถึงแม้จะไม่ชี้แจง แต่ยังไงก็ต้องมีการสอบสวนแน่ ว่าการสั่งคดีของนายเนตร ดำเนินการโดยอาศัยข้อเท็จจริงใดบ้าง ซึ่งตนคาดว่าทางสำนักงานอัยการสูงสุด คงมีการสอบสวนไปบ้างแล้ว ถ้าสอบเสร็จแล้ววันนั้นจะขอทราบว่ามีความเห็นเป็นอย่างไร และนำเข้าพิจารณาในที่ประชุม โดยจะปรึกษาอัยการสูงสุดว่าจะนำผลสอบของทั้ง 3 คณะมารวมเป็นข้อเท็จจริงรวมกับและดำเนินพิจารณาโดยเร็ว ในเรื่องนี้คิดว่าข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลย เมื่อพิจารณาจากข่าวที่ตนได้ทราบในเรื่องความเร็วขณะชนที่มีการยอมรับว่าคำนวนไม่ถูกต้อง และเป็นการชนที่เป็นความเร็วสูง จนสุดท้ายมีการตั้งกรรมการขึ้นมาใหม่ มีความเห็นสั่งฟ้อง นายวรยุทธ ตามพยานหลักฐานใหม่ตรงกับเคยสั่งคดีไว้ก่อนหน้านี้
นายพชร กล่าวเพิ่มเติมว่า หากการสอบสวนพบอัยการคนใดมีส่วนร่วม หรือกระทำการช่วยเหลือในคดี ไม่มีการเกรงใจแน่นอน ตนไม่ลังเลที่จะดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย แม้ยังไม่ได้เห็นรายงานจากนายวิชา มหาคุณ แต่ทราบว่ามีการอ้างถึงอัยการท่านหนึ่งไปมีส่วนร่วมของการสอบสวนในเรื่องของความเร็วรถใหม่ แม้จะยังไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่ถ้ามีเหตุการณ์แบบนั้นจริงต้องได้รับความกระจ่าง เพราะในเทปมีการพูดชัดว่าเป็นอัยการ ตนต้องถามในที่ประชุม หรือสอบถามไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในวันนั้น ว่าพนักงานอัยการคนนั้นคือใคร ไม่เฉพาะการลงโทษทางวินัย แต่จะส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
“แม้ว่าเรื่องของการใช้ดุลพินิจจะมีกฎหมาย คุ้มครองว่าใช้โดยอิสระแต่ต้องอยู่บนพื้นฐาน ของข้อเท็จจริงข้อกฎหมายที่ถูกต้อง ถ้าเอาข้อเท็จจริงที่บิดเบือนมันก็ไม่ใช่การใช้ดุลพินิจแล้วมันเป็นเถยจิตที่ไม่ถูกต้อง ในกรณีของคุณเนตร ผมเชื่อว่าคอนนี้มีการสอบสวนและสามารถวินิจฉัยได้ส่วนหนึ่ง แต่เมื่อปรากฏว่าได้มีอัยการท่านอื่นไปเกี่ยวข้องด้วยที่ชื่อว่า ช.ช้าง การดำเนินการของคณะกรรมการสอบสวนชุดที่แล้วที่ท่านอรรถพล ตั้งไว้จะต้องขยายผลไปถึงตรงนั้นได้ไม่มีปัญหาครับ เพราะหากมีการนำฐานะหน้าที่ความ เป็นอัยการ ไปร่วมสมคบคิดกับเขาอย่างน้อยก็เป็นความผิดเรื่องการไม่ดำรงตน ให้เกียรติศักดิ์ของความเป็นข้าราชการอัยการ” ประธาน ก.อ.ระบุ
นายพชรยังกล่าวถึงบทลงโทษว่าหากพบว่าเข้าข่ายทุจริตจะต้องสอบวินัยร้ายแรง จะมีโทษปลดออก ไล่ออก ถ้าเป็นความผิดแบบวินัยไม่ร้ายแรงก็ว่ากล่าวตักเตือน งดบำเหน็จ ในสมัยตนเป็นอัยการสูงสุดตนก็เคยเอาอัยการออกไปหลายคน เรื่องแบบนี้มันตรวจสอบได้อยู่แล้วมันดูเจตนาได้ และเราต้องตอบสังคมได้ มันรู้อยู่แล้วอัยการไม่สามารถที่จะไปสั่งคดีฝืนข้อเท็จจริงได้
วานนี้ (2 มิ.ย.) นายพชร ยุติธรรมดำรง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) กล่าวว่า ในวันที่ 9 มิ.ย. 64 จะเป็นการประชุมวาระแรกที่ตนเข้าดำรงตำแหน่งประธาน ก.อ. โดยจะเข้าไปรับทราบภารกิจของคณะกรรมการ ก.อ. ที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ในเรื่องการบริหารงานบุคคล หรือการวางกรอบนโยบายต่างๆ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน ตามอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการในเรื่องการดำเนินคดีอาญา ช่วยเหลือประชาชน และเป็นที่ปรึกษาหน่วยงานของรัฐตามกฎหมาย เพื่อให้พนักงานอัยการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอิสระ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ส่วนนโยบายที่จะเน้นย้ำเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องภาพลักษณ์ขององค์กรอัยการให้ฟื้นความเชื่อมั่นศรัทธา เนื่องจากปัจจุบันภาพลักษณ์ของสำนักงานอัยการสูงสุด ในการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนมีข้อสงสัย เมื่อมีเหตุข้อสงสัยของประชาชนแล้ว และมีปัญหาขึ้นมา ดังนั้น ตนคิดว่า ทางสำนักงานอัยการสูงสุดจะต้องมีเหตุผลชี้แจงให้กับประชาชน ว่าการทำหน้าที่ของอัยการบางคนนั้นทำถูกต้องตามกฏหมายและระเบียบหรือไม่ สามารถชี้แจงต่อสังคมได้ ว่าเรื่องที่เกี่ยวกับองค์กรที่เกิดขึ้นมันเป็นอย่างไร โดยการให้ข้อคิดเห็นจะต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่เข้ามาถึงมือของผู้บังคับบัญชาแล้ว
สำหรับความคืบหน้าการสอบสวนความผิดวินัยชั้นต้น นายเนตร นาคสุข อดีต รอง อสส. กรณีสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต ที่สังคมมองไม่มีความคืบหน้านั้น นายพชร กล่าวว่า ในวันประชุม ก.อ.ครั้งแรกตนจะต้องเรียนถาม อัยการสูงสุด หรือ นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ ก.อ.ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นประธานสอบและมีการเปลี่ยนจนมาเป็นคนที่ 3 แล้ว ว่าการสอบสวนได้ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว ซึ่งตนก็ทราบมาว่านอกจากคณะกรรมการชุดนี้แล้วยังมีการตั้งคณะกรรมการอีก 2 ชุด จึงต้องนำทั้ง 3 เรื่องมาพิจารณา และต้องเร่งรัดให้มีการสอบสวนให้เร็วขึ้น
ในส่วนของนายเนตร จะเข้าชี้แจงหรือไม่ ไม่ก้าวล่วง เป็นเรื่องของคณะกรรมการสอบสวนที่จะต้องเรียกนายเนตรมาชี้แจง แล้วก็มาพิจารณากันว่าที่ชี้แจงมาเป็นอย่างไร และถึงแม้จะไม่ชี้แจง แต่ยังไงก็ต้องมีการสอบสวนแน่ ว่าการสั่งคดีของนายเนตร ดำเนินการโดยอาศัยข้อเท็จจริงใดบ้าง ซึ่งตนคาดว่าทางสำนักงานอัยการสูงสุด คงมีการสอบสวนไปบ้างแล้ว ถ้าสอบเสร็จแล้ววันนั้นจะขอทราบว่ามีความเห็นเป็นอย่างไร และนำเข้าพิจารณาในที่ประชุม โดยจะปรึกษาอัยการสูงสุดว่าจะนำผลสอบของทั้ง 3 คณะมารวมเป็นข้อเท็จจริงรวมกับและดำเนินพิจารณาโดยเร็ว ในเรื่องนี้คิดว่าข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลย เมื่อพิจารณาจากข่าวที่ตนได้ทราบในเรื่องความเร็วขณะชนที่มีการยอมรับว่าคำนวนไม่ถูกต้อง และเป็นการชนที่เป็นความเร็วสูง จนสุดท้ายมีการตั้งกรรมการขึ้นมาใหม่ มีความเห็นสั่งฟ้อง นายวรยุทธ ตามพยานหลักฐานใหม่ตรงกับเคยสั่งคดีไว้ก่อนหน้านี้
นายพชร กล่าวเพิ่มเติมว่า หากการสอบสวนพบอัยการคนใดมีส่วนร่วม หรือกระทำการช่วยเหลือในคดี ไม่มีการเกรงใจแน่นอน ตนไม่ลังเลที่จะดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย แม้ยังไม่ได้เห็นรายงานจากนายวิชา มหาคุณ แต่ทราบว่ามีการอ้างถึงอัยการท่านหนึ่งไปมีส่วนร่วมของการสอบสวนในเรื่องของความเร็วรถใหม่ แม้จะยังไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่ถ้ามีเหตุการณ์แบบนั้นจริงต้องได้รับความกระจ่าง เพราะในเทปมีการพูดชัดว่าเป็นอัยการ ตนต้องถามในที่ประชุม หรือสอบถามไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในวันนั้น ว่าพนักงานอัยการคนนั้นคือใคร ไม่เฉพาะการลงโทษทางวินัย แต่จะส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
“แม้ว่าเรื่องของการใช้ดุลพินิจจะมีกฎหมาย คุ้มครองว่าใช้โดยอิสระแต่ต้องอยู่บนพื้นฐาน ของข้อเท็จจริงข้อกฎหมายที่ถูกต้อง ถ้าเอาข้อเท็จจริงที่บิดเบือนมันก็ไม่ใช่การใช้ดุลพินิจแล้วมันเป็นเถยจิตที่ไม่ถูกต้อง ในกรณีของคุณเนตร ผมเชื่อว่าคอนนี้มีการสอบสวนและสามารถวินิจฉัยได้ส่วนหนึ่ง แต่เมื่อปรากฏว่าได้มีอัยการท่านอื่นไปเกี่ยวข้องด้วยที่ชื่อว่า ช.ช้าง การดำเนินการของคณะกรรมการสอบสวนชุดที่แล้วที่ท่านอรรถพล ตั้งไว้จะต้องขยายผลไปถึงตรงนั้นได้ไม่มีปัญหาครับ เพราะหากมีการนำฐานะหน้าที่ความ เป็นอัยการ ไปร่วมสมคบคิดกับเขาอย่างน้อยก็เป็นความผิดเรื่องการไม่ดำรงตน ให้เกียรติศักดิ์ของความเป็นข้าราชการอัยการ” ประธาน ก.อ.ระบุ
นายพชรยังกล่าวถึงบทลงโทษว่าหากพบว่าเข้าข่ายทุจริตจะต้องสอบวินัยร้ายแรง จะมีโทษปลดออก ไล่ออก ถ้าเป็นความผิดแบบวินัยไม่ร้ายแรงก็ว่ากล่าวตักเตือน งดบำเหน็จ ในสมัยตนเป็นอัยการสูงสุดตนก็เคยเอาอัยการออกไปหลายคน เรื่องแบบนี้มันตรวจสอบได้อยู่แล้วมันดูเจตนาได้ และเราต้องตอบสังคมได้ มันรู้อยู่แล้วอัยการไม่สามารถที่จะไปสั่งคดีฝืนข้อเท็จจริงได้