xs
xsm
sm
md
lg

"ดีอีเอส"สั่งฟ้องนักข่าวปั่นเฟกนิวส์สาวแพ้วัคซีน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ผู้จัดการรายวัน360- "ชัยวุฒิ" สั่งแจ้งความเอาผิด นักข่าวไทยพีบีเอส ปั่นเฟกนิวส์ สาวอุดรฯแพ้วัคซีน เช็กย้อยหลัง 1 เดือน เสนอข่าวผิดถึง 3 ครั้ง ขณะที่ ไทยพีบีเอส แถลงการณ์น้อมรับผิด ตั้งกรรมการสอบพนง. ผู้ใช้เฟซบุ๊ก "กะทิ จ้า"

จากกรณีที่สื่อหลายสำนัก รายงานข่าวว่า มีหญิงสาวรายหนึ่งที่เข้ารับการฉีดวัคซีนซิโนแวค ที่ จ.อุดรธานี ได้เกิดผลข้างเคียง มีอาการชาทั้งตัว และมีเลือดออกในสมอง แต่มีการนำภาพของผู้ป่วยรายหนึ่งที่ รพ.หนองม่วง จ.ลพบุรี ที่มีอาการแพ้ยา ผื่นแดงเต็มตัว มาเผยแพร่ควบคู่กัน จนเกิดความเข้าใจผิด และผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาปฏิเสธไปแล้วนั้น

วานนี้ (12 พ.ค.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่าได้รับรายงานจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม รวมทั้งมีผู้ร้องเรียนเข้ามายังกระทรวงดีอีเอส จึงได้สั่งการให้ตรวจสอบตั้งแต่ต้น ก็พบว่าต้นตอของข่าวดังกล่าว มาจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ รวม 3 ราย ซึ่งเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ผู้แทนกระทรวงดีอีเอส เข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อดำเนินคดีต่อผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ "Wadfhan Niphawan",ผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์ชื่อ "@tuykallaya"และผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ "กะทิ จ้า" เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมาแล้ว แม้ทราบว่า ทั้ง 3 ราย ได้ลบโพสต์ออกไป และบางรายก็ได้โพสต์ขอโทษไปแล้ว แต่ก็จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อให้เป็นกรณีศึกษาสำหรับผู้ที่จะโพสต์ หรือเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังต่อสู้กับโควิด-19 ที่เป็นเรื่องความเป็นความตาย

"รัฐบาลได้ยกระดับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ ตลอดจนหลายภาคส่วนออกมาร่วมรณรงค์ให้ประชาชนฉีดวัคซีน แต่ก็ยังมีขบวนการที่พยายามดิสเครดิต สร้างความตื่นตระหนกให้กับสังคม จึงต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด" นายชัยวุฒิ ระบุ

นอกจากนี้ ได้ตรวจสอบบัญชี ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ "กะทิ จ้า" ซึ่งพบว่า ประกอบอาชีพสื่อมวลชน มีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยบรรณธิการข่าวเช้า สำนักข่าวไทยพีบีเอส ซึ่งที่ผ่านมามีการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่สื่อมวลชนของสำนักข่าวไทยพีบีเอส ว่า มีการนำเสนอข่าวผิดพลาดอย่างน้อย 2 ครั้ง 1. เมื่อวันที่ 24 เม.ย. นำเสนอข่าวชาวอินเดียเช่าเครื่องบินเหมาลำมายังประเทศไทยเมื่อช่วงกลางเดือนเม.ย. 2. เมื่อวันที่ 9 พ.ค. กรณีข่าวประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีต่อเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ ที่เป็นเพียงการคาดการณ์ ซึ่งเป็นการนำเสนอข่าวคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงในระยะเวลาไล่เลี่ยกันอย่างผิดสังเกต แล้วยังมีคนระดับบรรณาธิการ มาโพสต์ข้อมูลทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนอีก

ในช่วงเวลา 1 เดือน สำนักข่าวไทยพีบีเอส นำเสนอข่าวผิดถึง 2 ครั้ง และมีพนักงานนำเฟกนิวส์ มาเผยแพร่ จนสื่อมวลชนสำนักอื่น นำข้อมูลดังกล่าวไปผลิตซ้ำ รวมแล้วเกิดเฟกนิวส์ ที่มีจุดเริ่มต้นจากสำนักข่าวไทยพีบีเอส 3 ครั้ง จนทำให้ประชาชนเกิดความแตกตื่น แม้เป็นสื่อมวลชน หากกระทำผิดก็ไม่ละเว้น ยิ่งต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพราะสื่อมวลชนควรมีความรับผิดชอบต่อสังคมที่สูงกว่าคนทั่วไป ต้องมีภูมิคุ้มกันที่สูงกว่า และเป็นผู้เสริมภูมิคุ้มกันในการเสพข่าวทางสังคมออนไลน์ให้กับประชาชน เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วต้องมีการตรวจสอบข้อมูลก่อนการนำเสนอ ไม่ควรปล่อยให้มีการออกข่าวผิดพลาด และบ่อยครั้ง จนมีคำถามถึงเจตนาที่แท้จริงของสำนักงานแห่งนี้ ที่ได้ชื่อว่าเป็นสื่อสาธารณะแห่งนี้

แม้ที่ผ่านมาสำนักข่าวไทยพีบีเอส จะออกมาขอโทษ ที่นำเสนอข้อมูลคลาดเคลื่อน แต่ได้สร้างความสับสน และสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับประเทศไทย ผมจึงจำเป็นที่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะการกระทำผิด 3 ครั้ง ภายใน 1 เดือน เป็นวิสัยที่ผิดปกติ และผมเกรงว่าหากไม่มีการดำเนินการตามกฎหมายจะมีการกระทำผิดครั้งต่อไปเกิดขึ้นอีก" นายชัยวุฒิ กล่าว

ไทยพีบีเอส ตั้งกก.สอบพนง. ผู้ใช้เฟซบุ๊ก "กะทิ จ้า"

ขณะที่ไทยพีบีเอส ได้ออกแถลงการณ์ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) เรื่อง นักข่าวไทยพีบีเอสโพสต์ข้อความบนบัญชี Facebook ส่วนตัว ที่ใช้ชื่อว่า กะทิ จ้า ว่า

ส.ส.ท. ต้องขอโทษและขอรับทุกคำติเตียนหรือคำกล่าวโทษต่างๆ จากการที่พนักงานตำแหน่งผู้ช่วยบรรณาธิการข่าว สังกัดสำนักข่าว โพสต์ข้อความบนบัญชี Facebook ส่วนตัว ที่ใช้ชื่อว่า กะทิ จ้า ให้ข้อมูลและภาพเกี่ยวกับประสิทธิภาพและผลกระทบของผู้รับวัคซีนที่ไม่ถูกต้อง และทำให้สื่อมวลชนสังกัดอื่นใช้ข้อมูลและภาพจากบัญชีดังกล่าวไปเผยแพร่ซ้ำ จนทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับประสิทธิภาพและผลกระทบของผู้รับวัคซีน อันนำมาซึ่งความเสียหายต่อผู้เกี่ยวข้องและเกิดความเข้าใจผิดขึ้นในสังคมเป็นวงกว้าง

ส.ส.ท. ขอเรียนว่า แม้การโพสต์ข้อความหรือภาพของพนักงานของ ส.ส.ท. ดังกล่าว จะเป็นการโพสต์บนบัญชีส่วนบุคคลของพนักงานเอง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ให้แก่ ส.ส.ท. แต่การกระทำนั้นส่งผลต่อภาพลักษณ์ของ ส.ส.ท. และกระทบต่อสาธารณะ ส.ส.ท. จึงไม่อาจจะละเลยต่อความรับผิดชอบในหน้าที่ที่ต้องกำกับดูแลพนักงานในสังกัดของตนได้

จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นแล้ว โดยอาศัยข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมของวิชาชีพเกี่ยวกับการผลิตและการเผยแพร่รายการ พ.ศ. 2563 และแนวปฏิบัติการใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ลงวันที่ 28 กันยายน 2563 ที่ ส.ส.ท. ใช้เป็นหลักยึดในการดำเนินงานตลอดมา เพื่อให้ข้อเท็จจริงทั้งหมดได้รับการเปิดเผย และตรวจสอบอย่างรอบด้าน อันจะนำมาซึ่งความเป็นธรรมกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งนี้ ส.ส.ท. จะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันนี้

ส.ส.ท. ขอน้อมรับทุกข้อตำหนิ และคำติเตียนเพื่อเป็นบทเรียนการทำงานที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นจนเป็นเหตุให้ต้องเกิดการขอโทษต่อสาธารณะขึ้นซ้ำอีกในอนาคต


กำลังโหลดความคิดเห็น