xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อนักประชาธิปไตยอยากย้ายประเทศ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


Anders Fogh Rasmussen อดีตนายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก
ชักไม่ค่อยแน่ใจ!!!...ว่าสิ่งที่จะหยิบมาพูดจาว่ากล่าวในช่วงปิดท้ายสัปดาห์นี้ จะออกไปทาง “หนัก” หรือ “เบา” กันแน่??? สำหรับใครต่อใครในบ้านเรา ที่ทำท่าว่าคิดจะ “ย้ายประเทศกันเถอะ” ชนิดมาแรงแซงโค้งเอามากๆ เห็นว่า...แค่ 3 วันเท่านั้นเอง มีผู้เข้าไปร่วมชิทๆ แชทๆ เจ๊าะๆ แจ๊ะๆ กันเป็นแสนๆ ระดับ 5 แสน 6 แสน โดยเฉพาะบรรดาพวก “นักประชาธิปไตย” หรือผู้ที่รักและใฝ่ใจใน “เสรีภาพ” ทั้งหลาย นี่...ถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของสำนักข่าว “บีบีซี-ไทย” รายที่เคยถูกอาเฮีย “สนธิ ลิ้มฯ” ท่านนำมาแฉกลางอากาศสดๆ ไปเมื่อไม่นานมานี้...

แต่ก็เอาเถอะ...ไม่ว่า “หนัก” หรือ “เบา” คงต้องลองไปชั่งน้ำหนักเอาเองก็แล้วกัน เพราะระหว่างที่บรรดานักประชาธิปไตยและผู้ใฝ่ใจในเสรีภาพของบ้านเราทั้งหลาย กำลังออกอาการ “เพ้อ” อยากย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ในบรรดาประเทศประชาธิปไตยในแต่ละราย ไม่ว่าอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ไปจนถึงสวีเดน ฯลฯ โน่นเลย องค์กรเอกชนระดับโลกรายหนึ่ง คือ “The Alliance of Democracies Foundation” ที่ต้องจัดเป็นองค์กรซึ่งมีความน่าเชื่อถือมิใช่น้อย ตัวประธานเคยเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรีเดนมาร์กและอดีตเลขาธิการนาโต ชื่อว่า “นายAnders Fogh Rasmussen” ได้ออกมาเปิดเผยผลสำรวจและงานวิจัย ที่ร่วมกับบริษัทการตลาดระดับโลกอีกเช่นกัน คือบริษัท “Latana Brand Tracking” เมื่อช่วงวันพุธ (5 เม.ย.) ที่ผ่านมานี่เอง ถึงเรื่อง “อารมณ์-ความรู้สึก” ของผู้คนในระดับทั่วทั้งโลก หรือจากการตอบแบบสำรวจและวิจัยของผู้คนไม่น้อยไปกว่า 53,000 คน จาก 53 ประเทศ ไม่ว่าประเทศประชาธิปไตย-ไม่ประชาธิปไตย ยังไงก็แล้วแต่...

โดยสิ่งที่น่าสนใจเอามากๆ ก็คือว่า...บรรดาผู้คนในประเทศประชาธิปไตยทั้งหลายในช่วงนี้ โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาดูๆ ชักจะออกอาการหงุดหงิด งุ่นง่าน กับ “รัฐบาล” ของตัวเอง ชนิดหนักขึ้นๆ ยิ่งเข้าไปทุกที ส่วนจะถึงขั้นคิดย้ายประเทศหนี หรือ “ย้ายประเทศกันเถอะ” กันเลยหรือไม่? อย่างไร? อันนั้น...คงต้องไปสอบถามกันเอาเอง เพราะสิ่งที่ผลสำรวจเขาบอกไว้ก็มีแต่เพียงว่า บรรดาผู้คนในประเทศประชาธิปไตยเหล่านี้ กำลังรู้สึกว่า “เสรีภาพ” และ “ความเป็นประชาธิปไตย” ภายในประเทศตัวเอง กำลังลดน้อยถอยลงยิ่งเข้าไปทุกที โดยเฉพาะภายใต้ภาวการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือกำลังรู้สึกว่า...ถูกรัฐบาลของตัวเอง “ควบคุมและบังคับ” หนักขึ้นๆ จนชักเริ่มหงุดหงิด งุ่นง่าน หรือเกิด “ความไม่พอใจ” ต่อรัฐบาลของแต่ละประเทศ ชนิดสามารถสะท้อนผ่านตัวเลขผลสำรวจและวิจัยอย่างเห็นได้โดยชัดเจน...

คือในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 2020 นั้น...บรรดาผู้คนจำนวนถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ในบรรดาประเทศประชาธิปไตย สังคมประชาธิปไตยทั้งหลาย ยังอาจเป็นปลื้ม หรือยังคงพออกพอใจต่อรัฐบาล โดยเฉพาะในการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าว แต่พอมาถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีที่แล้ว หรือปี ค.ศ. 2021 ปรากฏว่าจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่ว่ากลับลดลงไปแบบฮวบๆ ฮาบๆ เหลืออยู่แค่ 51 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง เพราะโดยส่วนใหญ่ต่างคิดเห็นไปในแนวเดียวกันประมาณว่า “เสรีภาพ” ของตัวเองกำลังถูก “ล่วงละเมิด” จากรัฐบาล โดยอาศัยการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดนี่แหละเป็นข้ออ้าง ชนิดอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเปรี้ยวมือ เปรี้ยวตีน ไปจนเกิดการลงมือ ลงตีนหรือ “ลงถนน” ในประเทศต่างๆ กันเป็นจำนวนไม่น้อย ส่วนจะถึงขั้นคิด “ย้ายประเทศ” กันเลยหรือไม่? อย่างไร? ก็ไม่ได้สรุปเอาไว้ชัดๆ...

แต่ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า...ภายใต้การสำรวจและวิจัยในระดับโลกคราวนี้ ได้ระบุเอาไว้ค่อนข้างชัดเจน ว่าบรรดาประเทศที่มี “ประชาธิปไตยน้อย” หรือจะเรียกว่าประเทศ “เผด็จการ” ก็คงพอได้ เช่นบรรดาประเทศในภูมิภาคเอเชียทั้งหลายปรากฏว่าผู้คนส่วนใหญ่ ต่างกลับรู้สึก “แฮปปี้เอนดิ้ง” กับรัฐบาลตัวเองอยู่พอสมควร หรือยังคงเชื่อมั่นศรัทธาต่อรัฐบาล แม้จะเป็นรัฐบาลเผด็จการก็เถอะ ไม่ว่าจะในประเทศจีน เวียดนาม ซาอุดีอาระเบีย ไปจนถึงรัสเซียและชิลี ฯลฯ เอาเลยก็ตาม โดยเฉพาะในแง่ของประสิทธิภาพในการรับมือ การบริหารจัดการกับภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คือในช่วงปี ค.ศ. 2020 ตัวเลขแห่งความเชื่อถือศรัทธา อยู่ในระดับสูงถึง 77 เปอร์เซ็นต์ แต่พอถึงช่วงปี ค.ศ. 2021 ก็ลดระดับลงไปเพียงแค่ 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง หรือยังแสดงออกถึงเชื่อมั่นศรัทธาต่อรัฐบาลตัวเองกันถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ต่างไปจากผู้คนในประเทศประชาธิปไตยแบบชนิดคนละเรื่อง-คนละม้วนเอาเลยก็ว่าได้...

แม้ว่าตามข้อสรุปขององค์กร หรือของมูลนิธิ “Alliance of Democracies” เขาเห็นว่า...อาจเนื่องมาจากบรรดาตัวเลข “ความพอใจ” และ “ความไม่พอใจ” ต่างๆ ย่อมเกี่ยวข้อง พัวพัน หรือ “ขึ้นอยู่” กับจำนวนตัวเลขคนตาย คนติดเชื้อ ในแต่ละประเทศอย่างมิอาจแยกออกจากกันได้เลย เช่น อาจเพราะจีนมีวัคซีน “Sinovac” รัสเซียมีวัคซีน “Sputnik V” และชิลีมีวัคซีน “CoronaVac” ฯลฯ เลยสามารถอาศัยสิ่งเหล่านี้ดำรงความเชื่อมั่นศรัทธา ไม่ให้ “หัวทิ่มดิน” จนเกินไป โดยไม่พยายามพูดถึงคุณพ่ออเมริกาที่มีวัคซีนอันดับหนึ่งอย่าง “Pfizer” อังกฤษที่มีวัคซีน “AstraZeneca” หรืออินตะระเดียที่มีวัคซีน “Covaxin” แต่ต่างต้องครองแชมป์ “จ้าวโรค” อันดับหนึ่งและอันดับรองๆ ไล่ตามกันไปติดๆ แต่ก็นั่นแหละ...บรรดาสิ่งเหล่านี้ คงเป็นแค่เรื่อง “อารมณ์-ความรู้สึก” ที่ยากจะหาดัชนีชี้วัดได้ง่ายๆ แต่ที่แน่ก็คือ...บรรดาผู้คนในประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย ไม่ว่าอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ไปจนถึงโปแลนด์ ฯลฯ โน่นเลย ต่างไม่ได้รู้สึกแฮปปี้กับเสรีภาพหรือความเป็นประชาธิปไตยภายในประเทศตัวเองมากมายสักเท่าไหร่นัก...

ยิ่งแม้จะเป็นประเทศประชาธิปไตยแบบทั้งดุ้น ทั้งด้าม แต่ภายใต้ความเป็นประชาธิปไตยและเสรีภาพ กลับไม่อาจนำมาใช้แก้ “ปัญหาช่องว่าง” ระหว่างคนรวย-คนจน ให้บรรเทาเบาบางลงไปได้สักกี่มากน้อย ต่างไปจากประเทศเผด็จการแบบชนิดสุดฤทธิ์ สุดเดช หรือประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์อย่างคุณพี่จีน ที่กลับสามารถเนรมิตให้บรรดาคนจน หรือผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่ามาตรฐานความยากจนนับไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยล้าน เกิดอาการ “หายจน” ภายในระยะเวลาแค่ชั่วอายุคนเท่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้...เมื่อหัวข้อแบบสอบถามการสำรวจ วิจัย ได้ผนวกเอาเรื่องความรวย-ความจนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ปรากฏว่า...บรรดาผู้คนในประเทศประชาธิปไตย หรือบรรดานักประชาธิปไตยในแต่ละราย ต่างเห็นพ้องต้องกันไปในแนวเดียวกัน คือเห็นว่า “ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ” นี่แหละ คือ “ภัยคุกคาม” ต่อเสรีภาพและความเป็นประชาธิปไตย มากเสียยิ่งกว่าการแปะฉลาก การพะยี่ห้อ ว่าเป็นประชาธิปไตย หรือเป็นเผด็จการ เอาเลยก็ไม่แน่!!! หรือมากซะยิ่งกว่า “การแทรกแซงกิจการภายในของต่างชาติ” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...

ดังนั้น...เอาเป็นว่าการคิด “ย้ายประเทศ” ของบรรดานักประชาธิปไตยบ้านเราช่วงนี้ ยังไงๆ...คงต้องคิดให้หนัก คิดให้ถ้วนถี่กันตามสมควร จะเอาแค่ “เพ้อ” กันไปเป็นพักๆ มันคงไม่ถูกเรื่อง หรือไม่น่าจะเข้าท่ามากมายสักเท่าไหร่นัก แม้จะถือเป็นเรื่องของ “อารมณ์-ความรู้สึก” ล้วนๆ ก็ตามที เพราะบรรดาประเทศประชาธิปไตยที่ตัวเองอยากย้ายเข้าไปอยู่ หรือไปอาศัยร่มไม้ชายคา ไม่ว่าในฐานะพลเมืองชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ก็แล้วแต่ ช่วงระหว่างนี้...น่าจะเต็มไปด้วย “นักประชาธิปไตย” ที่ออกจะหงุดหงิด งุ่นง่านยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นส่งผลให้เกิดการแสดงออกถึง “เสรีภาพ” ในการไล่เหยียบ ไล่กระทืบ ผู้ที่ต่างผิว ต่างพันธุ์ ต่างชาติ ต่างภาษา ระดับใช้เข่ากดคอคนผิวดำจนขาดใจตายคาเข่า หรือไล่ทุบ ไล่ถีบ คนผิวเหลืองอย่างบรรดาชาวเอเชียทั้งหลาย จนกลายเป็นข่าวคราวแทบไม่เว้นในแต่ละวัน คือถ้าหากยังมัวเพ้อๆ กันไปในแนวนี้ ไม่ว่าเพื่อ “เอามันซ์ซ์ซ์” หรือเพื่อเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ มันคงไม่ต่างอะไรไปจากการ “โชว์โง่” กันคราวละเป็นแสนๆ คน อันเป็นอะไรที่ออกจะก่อให้เกิดอารมณ์-ความรู้สึกอยากจะ “บ้าตาย” ในการอยู่ร่วมร่มไม้ชายคา กับนักประชาธิปไตยประเภทนี้ เอาง่ายๆ...




กำลังโหลดความคิดเห็น