ช่วงวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา...ถือเป็น “วันแรงงาน”หรือเมย์ดง เมย์เดย์ อะไรประมาณนั้น การออกมา “โชว์พาว” หรือโชว์ศักยภาพ “พลังแห่งมวลมหากรรมกร” ที่เคยดำเนินต่อเนื่อง ชนิดแทบกลายเป็น “ประเพณี” จึงเป็นสิ่งซึ่งมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธมาโดยตลอด ในสังคมต่างๆ ประเทศต่างๆ แม้ว่าหลังๆ มานี้...อะไรต่อมิอะไรมันดูจะผิดเพี้ยน ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง...
อย่างช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมานี้...แม้การออกมาเดินขบวนของ “มวลชน” ในหลายต่อหลายประเทศ อาจยังพอมี “กลิ่นอาย” ของความเป็นแรงงาน ของศักดิ์ศรีกรรมกร อยู่พอประมาณ แต่ก็มีอยู่เป็นจำนวนน้อยที่กลายไปเป็นความหงุดหงิด งุ่นง่านความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวตีนต่อรัฐบาลต่างๆ แม้จะเป็น “รัฐบาลประชาธิปไตย” แบบทั้งแท่ง ทั้งด้ามก็ตามที อังกฤษนั้น...การเดินขบวนของผู้คนนับพันในกรุงลอนดอน ดูจะให้น้ำหนักเน้นไปในทางการต่อต้านกฎหมายเพิ่มอำนาจให้ตำรวจซะเป็นหลัก ที่เคยทำให้พวกผู้ดีอังกฤษต้อง “ปะ-ฉะ-ดะ” กับตำรวจจนกลายเป็น “จลาจล” ไปเมื่อไม่นานมานี้ ส่วนฝรั่งเศส...การลงถนนของผู้คนในกรุงปารีส และเมืองลีอง ก็ดูจะดุเดือด รุนแรงไปกว่าเรื่องแรงงาน เรื่องศักดิ์ศรีกรรมกรโดยปกติ คือมีทั้งอดีตผู้ประท้วงที่เรียกๆ กันว่าพวก “เสื้อกั๊กเหลือง” ที่เคยเยิ่นกับรัฐบาล “มาครง” มาชนิดข้ามเดือน ข้ามปี รวมไปถึงพวก “อนาคิสต์ผิวดำ”ฯลฯ ที่ออกมาไล่ทุบ ไล่ถีบ บรรดาอาคารร้านค้าต่างๆ ขว้างก้อนหิน ทุบกระจก จุดไฟเผา อะไรต่อมิอะไรจนวินาศสันตะโรกันไปมิใช่น้อย...
ส่วนเบลเยียมนั้น...ดูจะหนักไปทางความหงุดหงิด งุ่นง่าน จากการถูก “ควบคุมและบังคับ” ด้วยมาตรการการสกัดกั้นเชื้อไวรัสโควิด จนหนีไม่พ้นต้องหาทาง “ระบายออก” กันจนได้ การปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไล่ทุบ ไล่กระทืบ ฉีดน้ำใส่แบบชนิดไม่ได้ “ฉีดแล้วขอโทษ” แบบบ้านเรา จึงปรากฏให้เห็นเป็นข่าวไม่ต่างไปจากประเทศยุโรปอื่นๆ อิตาลีนั้น...ที่เมืองตูรินนอกเหนือไปจากการลงถนนของขบวนแรงงานโดยปกติแล้ว การแสดงออกถึงความไม่พออก-พอใจ ต่อมาตรการควบคุมของรัฐบาล ในเรื่องเชื้อโควิด ก็ส่งผลให้ต้องไล่ทุบ ไล่ถีบ ไล่กระทืบ ในลักษณะไม่ถึงกับผิดแผกแตกต่างไปจากกันเท่าไหร่ เช่นเดียวกับในตุรกี การเรียกร้องค่าแรงภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่กำลังหัวทิ่ม หัวตำ อยู่ในทุกวันนี้ ก็หนีไม่พ้นต้องผสมผสานไปกับความหงุดหงิด ไม่พอใจ เรื่องมาตรการควบคุมและบังคับของรัฐบาล ในกรณีเชื้อโควิดอีกเช่นกัน ส่วนคุณพ่ออเมริกานั้น อาจผิดแผกแตกต่างไปจากรายอื่นอยู่มั่ง ตรงที่มีการหยิบเอาเรื่องสีผิว และเผ่าพันธุ์มาผสมปนเปไปกับ “วันแรงงาน” ชนิดว่ากันว่า...ถึงกับเรียกร้องให้ออกไป “ฆ่าตำรวจผิวขาว” เนื่องในวันสำคัญดังกล่าว โดยกลุ่มนักประท้วง “Antifa” ในแคลิฟอร์เนีย เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่จริง-ไม่จริงคงต้องไปชั่งน้ำหนักกันอีกที เพราะผู้ที่ออกข่าว ปล่อยข่าวในเรื่องนี้ ดันเป็นพวก “เผ่าพันธุ์นิยมผิวขาว” หรือพวกที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดี “ทรัมป์บ้า”นั่นเอง...
แต่สิ่งที่น่าสนใจ...และน่าคิด น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย จนคงต้องแวะไปดู หรือ “ตามไปดู” ไว้ก่อนล่วงหน้า นั่นก็คือการลงถนนของบรรดาชาว “บราซิลเลียน” หรือชาวแซมบ้า-บราซิลทั้งหลาย ไม่ว่าในเมืองบราซิลเลีย เซา เปาโล หรือ ริโอ เดอ จาเนโร ฯลฯ เพราะนอกจากจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องแรงงาน เรื่องศักดิ์ศรีชาวกรรมกรเอาเลยแม้แต่น้อย ยังกลายเป็นการเดินขบวน ลงถนน เพื่อการชโลมเชลียร์ หรือการแสดงออกถึงความสนับสนุนต่อประธานาธิบดีบราซิล อย่าง “นายฌาอีร์ โบลโซนารู” (Jair Messias Bolsonaro) ที่ยังไงๆ...ก็น่าจะ “ห่วยแตก” กว่า “บิ๊กตู่” บ้านเราประมาณร้อยเท่า หรือพันเท่า เป็นอย่างน้อย คือเป็นผู้นำที่บริหาร จัดการ การรับมือกับเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างน่าเกลียด น่ากลัวเอามากๆ ระดับเล่นเอาชาวบราซิลเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้วถึง 400,000 คน ติดเชื้อไปแล้วถึง 14.6 ล้านคน หรือยังคงผงาดเป็น “รองแชมป์จ้าวโรค” ต่อจากคุณพ่ออเมริกา โดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้อินตะระเดียแย่งชิงตำแหน่งได้ง่ายๆ...
ดังนั้น...การที่ชาวบราซิลเลียนนับพันๆ คนในแต่ละเมือง พร้อมที่จะออกมากู่ก้องร้องตะโกน พร้อมที่จะพ่นละอองเรณูโดยไม่คิดสวมหน้ากาก ไม่คิดจะเว้นระยะห่าง เพื่อแสดงออกถึงความสนับสนุนผู้นำรายนี้ ทั้งๆ ที่มีผลงาน หรือมีความ “ห่วยแตก” ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สายตากันชัดๆ เช่นนี้ มันจึงน่าจะมีอะไรมากไปกว่าการแสดงออกตาม “ธรรมชาติ” โดยปกติ หรือคงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องศักดิ์ศรีแรงงาน ศักดิ์ศรีกรรมกรเอาเลยแม้แต่นิด แต่ส่วนจะเป็นอะไรนั้น...อันนี้นี่แหละที่น่าคิด น่าสะกิดใจอยู่พอสมควร โดยเฉพาะเมื่อตัวประธานาธิบดีรายนี้ ได้ออกมาพูดจาในลักษณะไม่ต่างอะไรไปจาก “การส่งสัญญาณ” ไปถึงประชาชน หรือกำลัง “รอสัญญาณจากประชาชน” เพื่ออาจนำไปสู่ฉากสถานการณ์ในแบบ “วันหนึ่ง..กองทัพอาจถูกส่งเข้าไปประจำการบนท้องถนน เพื่อรับประกันการเคารพต่อรัฐธรรมนูญและสิทธิ-เสรีภาพของประชาชน” หรือเพื่อหาทางยกเลิกมาตรการและข้อจำกัดต่างๆ ที่บรรดารัฐแต่ละรัฐพยายามกำหนดไว้เป็น “เครื่องมือ” ในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั่นเอง...
แต่โดยการกระทำเช่นนี้...จะเป็นจริง-เป็นจังขึ้นมาได้จริงๆ ย่อมหนีไม่พ้นไปจากต้องหาทาง “รวบอำนาจ” ทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในมือ ยิ่งกว่าการรวบอำนาจ “กฎหมาย 30 ฉบับ” ของ “บิ๊กตู่” บ้านเราเอาเลยก็ไม่แน่!!! หรืออาจนำไปสู่ “การรัฐประหาร” เพื่อดำรงอำนาจของประธานาธิบดีให้ต่อเนื่อง ยาวนาน อีกนานเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ก็ยังมิอาจรู้ได้ เพราะก่อนหน้านั้นเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม ประธานาธิบดีบราซิลรายนี้นี่แหละ...ได้สั่ง “ปลด” รัฐมนตรีกลาโหม “พลเอกเฟอร์นันโด อาเซเวโด” (Fernando Azevedo) ชนิดหงายหลังหลับกลางอากาศเอาดื้อๆ ด้วยเหตุเพราะรัฐมนตรี “ปฏิเสธ”การแทรกแซงกองทัพโดยตัวประธานาธิบดี ที่หมิ่นเหม่ต่อการนำไปสู่การ “ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ” ได้ไม่ยาก ส่งผลให้ผู้นำทางทหารถึง 3 เหล่าทัพ ไม่ว่าทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ ตัดสินใจลาออกตามรัฐมนตรีกลาโหม ไปเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่ผ่านมา...
แต่ยิ่งผู้บัญชาการทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ ตัดสินใจลาออกเอาดื้อๆ ก็ยิ่งเท่ากับเป็นการเปิดช่อง เปิดโอกาส ให้เกิดการสอดแทรก แทรกแซง เพื่อนำเอา “กองทัพ” มาใช้เป็น “เครื่องมือ” ได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก และอาจด้วยเหตุที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบใหม่ ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคมปีหน้า (ค.ศ. 2022) แนวโน้มที่ผู้นำบราซิลรายนี้ จะมีโอกาสกลับมาเป็นประธานาธิบดีรอบสอง ออกจะเป็นอะไรที่ริบหรี่ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่ความ “ห่วยแตก” ในการรับมือกับเชื้อไวรัสโควิด-19 เท่านั้น แต่ยังอาจต้องเจอกับคู่แข่ง คู่ชิง ที่ลำหัก-ลำโค่น เหนือไปกว่าตัวเองไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า นั่นก็คืออดีตประธานาธิบดี “ลูลา ดา ซิลวา” (Lula Da Silva) นักการเมืองปีกซ้ายที่เพิ่งถูกปล่อยตัวจากคุกมาหมาดๆ...
อันนี้นี่แหละ...ที่เป็นอะไรที่น่าสนใจ น่าคิดสะกิดใจ เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับบรรดาประเทศ “สวนหลังบ้านอเมริกา” หรือบรรดาประเทศละตินอเมริกาทั้งหลาย ที่ไม่เพียงแต่จะเริ่มส่อแววการฟื้นคืนกลับมาของ “รัฐบาลปีกซ้าย” หรือพวกที่คุณพ่ออเมริกาไม่ค่อยชอบขี้หน้า เช่นการชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายของประธานาธิบดี “ลุยส์ อาร์เซ” (Luis Arce) ในโบลิเวีย ทายาทโดยตรงของอดีตประธานาธิบดี “อีโบ โมราเลส” (Evo Morales) คู่กัดของอเมริกามาโดยตลอด การหาทางโค่นล้มรัฐบาลเวเนซุเอลา ของประธานาธิบดี “นิโคลัส มาดูโร” (Nicolas Maduro) ที่ยังคงโค่นไม่ได้ โค่นไม่ลง อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ การหาทางทำให้ประธานาธิบดีของประเทศที่ใหญ่ที่สุดในละตินอเมริกา อย่างบราซิล แถมยังแสดงออกถึงความ “จงรักภักดี” ต่ออเมริกาตลอดไป จนอิสราเอลชนิดออกนอกหน้า ขนาดยอมปฏิเสธวัคซีน “Sputnik V” ของรัสเซียเอาดื้อๆ ทั้งๆ ที่ประชาชนตายโหง ตายห่าไปแล้วเป็นแสนๆ คน ยังสามารถ “สืบทอดอำนาจ” ต่อไปได้ในอนาคตเบื้องหน้าจึงย่อมถือเป็นอะไรที่คุ้มค่า ราคา แม้ว่าจะไม่ได้เป็น “ประชาธิปไตย” ใดๆ เอาเลยก็ตาม...