เปิดฉากสัปดาห์นี้...นอกจากเรื่อง “โควิด-ไม่โควิด” แล้ว เรื่องอื่นๆ ก็ดูจะไม่ถึงกับคืบหน้ามากมายสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้ก็เลยคงต้องขออนุญาตฉีกกรอบ ฉีกบรรยากาศ เชิญชวนให้ลองแวะไปแถวๆ ประเทศฝรั่งเศสน่าจะเหมาะกว่า เพราะนอกจากถือเป็นการ “ส่งความคิดถึง” ไปยังบรรดาชาวไทยในฝรั่งเศส ไม่ว่าประเภทคุณน้อง “หัวโต-สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” คุณทวด “จรัล ดิษฐาอภิชัย” ฯลฯ ที่ต้องหลบลี้ หนีภัย ไปแสดงออกถึงความปรารถนา ความต้องการ ต่อระบอบประชาธิปไตยหรือระบอบประธานาธิบดีก็แล้วแต่ กันถึงประเทศฝรั่งเศสโน่นเลย ยังอาจถือเป็นการ “ส่งความรักและความปรารถนาดี” ไปยังบรรดาคนไทย คนรุ่นใหม่ ที่กำลังเพรียกหาอะไรต่อมิอะไรอยู่ภายในประเทศ ไม่ว่าประเภทคุณน้อง “อองตวน ปิยะบุตร” หรือคุณน้อง “โรแบส ปิแอร์ ธนาธร” อะไรทำนองนั้น...
คือด้วยเหตุเพราะประเทศแม่แบบแห่งประชาธิปไตย อย่างฝรั่งเศสช่วงนี้ ความเป็น “ประชาธิปไตย” อันเป็นอะไรที่เคยเป็นสิ่งซึ่งออกจะสูงส่ง วิเศษวิเสโส ซะเหลือเกิน นับวัน...มันชักหนักไปทาง “ประชาธิป...ตาย” ยิ่งเข้าไปทุกที หรือไม่ ประการใด ก็แล้วแต่จะไปสรุปกันเอาเอง แต่ก็ด้วยสีสันบรรยากาศแห่งความสับสน อลหม่าน การประท้วงในแบบข้ามเดือน ข้ามปี ของพวกเกษตรกรชาวฝรั่งเศส ไปจนถึงพวก “เสื้อกั๊กเหลือง” (Yellow Vest Riots) ที่ยังเดาไม่ออกว่าจะจบ-ไม่จบ หรือไม่? อย่างไร? จนตราบเท่าทุกวันนี้ ไปจนถึง “ความรุนแรง” อันเนื่องมาจากความเกลียด ความกลัว ของบรรดาชาวฝรั่งเศสจำนวนมิใช่น้อย ที่มีต่อบรรดา “ชาวมุสลิม” ภายในประเทศตัวเอง ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่า 5 ล้านคนขึ้นไป หรือถือว่าเป็น “ชุมชนชาวมุสลิม” ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาประเทศยุโรปตะวันตกด้วยกันทั้งหลาย มันจึงได้ก่อให้เกิดเหตุการณ์แปลกๆ ขึ้นมาในประเทศแม่แบบประชาธิปไตยแห่งนี้ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง นั่นคือ...การออกมาเรียกร้อง ออกมาเขียน “จดหมายเปิดผนึก” ของบรรดาอดีตทวยทหารฝรั่งเศส ให้เร่งดำเนินการ “ปฏิวัติ” หรือ “ยึดอำนาจ” แล้วนำพาประเทศฝรั่งเศสเข้าสู่ระบอบการปกครองแบบทหาร หรือแบบ “อำนาจนิยม” อันอาจช่วยให้ประเทศทั้งประเทศ ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ความขัดแย้ง แตกแยก ชนิดอาจก่อให้เกิด “สงครามกลางเมือง” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้!!!
นี่...อันนี้ต้องเรียกว่า ฟังแล้วออกจะ “หนาวว์ว์ว์” ยะเยือกพอสมควร สำหรับบรรดาผู้ที่รัก ผู้เพรียกหา หรือผู้ใฝ่ใจในความเป็นประชาธิปไตยทั้งหลาย เพราะถ้าว่าไปแล้ว...โดยความเป็นมา-เป็นไป ในประวัติศาสตร์ความเป็นประชาธิปไตยของฝรั่งเศส มันก็ไม่ได้ถึงกับแน่นหนา คงทน ถาวรมาโดยตลอดแต่อย่างใดไม่ เกิดการเปลี่ยนไป-เปลี่ยนมา สลับไป-สลับมา ระหว่างประชาธิปไตย อนาธิปไตย และความเป็นเผด็จการแบบสุดๆ แบบชนิดน่าปวดเศียรเวียนเกล้ามาโดยตลอด ต้องตัดหัว คั่วแห้ง ใครต่อใคร ตั้งแต่ระดับปุถุชนคนธรรมดา ไปถึงพระมหากษัตริย์ สมาชิกราชวงศ์ ตลอดไปจนบรรดาชนชั้นสูงไม่ว่าจะเป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันเอง ฝ่ายสาธารณรัฐ ฝ่ายเอาเจ้า ฝ่ายล้มเจ้า ฯลฯ ซะจนหวิดๆ กลายไปเป็น “ขี้ข้า” หรือกลายเป็น “เมืองขึ้น”ประเทศเกิดใหม่ อย่างเยอรมนี หรือปรัสเซีย ในบางช่วง บางระยะ เอาเลยก็ยังมี...
และสำหรับบรรยากาศความเป็นประชาธิปไตยในช่วงนี้...ก็น่าจะสับสน อลหม่านอยู่ไม่น้อย แม้จะไม่หนักเท่ากับเมื่อครั้งยุคอดีต แต่ก็มากพอที่จะทำให้ “อดีตนายทหาร” ระดับ “นายพล” ไม่น้อยกว่า 20 คน ภายใต้การนำของ “พลเอกChristian Piquemal” หรือ “Jean-Pierre Fabre-Bernadac” ถือโอกาสส่ง “จดหมายเปิดผนึก” ไปตีพิมพ์ เผยแพร่ ในนิตยสารการเมืองของพวกฝ่ายขวา คือนิตยสาร “Valeurs Actuelles” เมื่อช่วงวันที่ 21 เมษายน ที่ผ่านมา โดยมีทหารในระดับล่างๆ อีกนับพันๆ คนให้การสนับสนุนซะอีกด้วย เพื่อแสดงออกถึงการเพรียกหา เรียกหา ให้นำเอาระบอบการเมืองแบบ “เผด็จการ” หรือ “ระบบทหาร” กลับมาใช้ในประเทศฝรั่งเศสภายในอนาคตเบื้องหน้า ก่อนที่ความขัดแย้ง แตกแยก อันเนื่องมาจากความเป็นประชาธิปไตยทั้งหลาย อาจทำให้ประเทศฝรั่งเศส ต้องตกอยู่ในสภาวะ “สงครามกลางเมือง” ขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ย่อมได้???
นี่...อันนี้จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ คงต้องลองไปคิดๆ กันเอาเองก็แล้วกัน แต่ที่น่าสนใจเอามากๆ ก็คือว่า...หลังจากที่จดหมายเปิดผนึกดังกล่าว ได้รับตีพิมพ์ เผยแพร่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำนักวิจัย หรือสำนักโพลของฝรั่งเศส คือ “LCI TV Poll” จึงเกิดแรงกระตุ้น แรงจูงใจ ที่จะไปตรวจสอบความคิด ความเห็น ของบรรดาชาวฝรั่งเศส ต่อการเพรียกหา เรียกหา หรือการแสดงออกของบรรดาอดีตทหารฝรั่งเศสในลักษณะเช่นนี้ ว่าใครเห็นควรด้วย-ไม่เห็นควรด้วย ใครที่พร้อมจะด้วน-ไม่ด้วน หรือไม่? อย่างไร? โดยถ้าหาก “เป็นจริง” ตามที่สำนักโพลดังกล่าว เขาได้นำผลสรุปการวิจัยออกมาเผยแพร่ไปเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานี้ อันนี้...ต้องเรียกว่าอาจถึงขั้น “ผงะ” กันได้ไม่ยากส์ส์ส์!!! เพราะผลสรุปมันได้ระบุไว้ชัดเจน ว่าบรรดานักประชาธิปไตยในฝรั่งเศสจำนวนถึง 58 เปอร์เซ็นต์ หรือ “กว่าครึ่งหนึ่ง” กลับพร้อมที่จะ “ด้วน” หรือพร้อมที่จะเห็นควรด้วยกับข้อเสนอ ข้อเรียกร้อง ของบรรดาอดีตทหารหาญทั้งหลาย ที่จะให้นำเอา “ระบอบทหาร” กลับมาใช้ปกครองประเทศฝรั่งเศส กันอีกครั้ง อีกครา...
โดยจำนวน 73 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจ ต่างพร้อมยอมรับว่า “ประเทศกำลังประสบภาวะแตกแยก” ครั้งใหญ่ หรือครั้งสำคัญ และจำนวนมากถึง 84 เปอร์เซ็นต์ มิอาจปฏิเสธได้เลยว่าแนวโน้ม “ความรุนแรง” กำลังเพิ่มขึ้นๆ ในสังคมฝรั่งเศส ดังนั้น...จำนวนชาวฝรั่งเศสกว่าครึ่งหนึ่ง หรือ 58 เปอร์เซ็นต์ จึงเลี่ยงไม่พ้นที่ต้องหันไปสนับสนุนข้อเรียกร้องที่ถูกขนานนามว่า “เสียงเรียกร้องแห่งเกียรติยศ” (Call to Honor) ของบรรดาอดีตนายทหารฝรั่งเศสในลักษณะดังกล่าว ที่เรียกร้องให้หันไปใช้ “อำนาจแบบเบ็ดเสร็จและเด็ดขาด” ในการฟื้นฟู ปฏิสังขรณ์ ความสงบเรียบร้อยให้หวนคืนกลับมาสู่สังคมฝรั่งเศสให้จงได้ มีแค่นักประชาธิปไตยในฝรั่งเศสประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสำรวจเท่านั้นเอง ที่ไม่อยากจะด้วน หรือไม่คิดจะเห็นควรด้วย ต่อการหวนกลับไปสู่ระบบอำนาจนิยม ยังคงพร้อมที่จะดำรงความเป็น “จรัล ดิษฐาอภิชัย” หรือความเป็น “สมศักดิ์ หัวโต” อย่างมิคิดจะผันแปรไปเป็นอื่น...
นี่...ฟังแล้ว เลยออกจะเป็นอะไรที่น่าคิด น่าหยิบมาเป็นข้อสังเกตอยู่ตามสมควร เพราะถ้าว่าไปแล้ว...โดยแนวโน้มของโลกโดยเฉพาะหลังจากที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นต้นมา คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า ได้ส่งผลให้เกิดความพยายามหันไปใช้ “อำนาจ” ในการ “ควบคุมและบังคับ” ภายในสังคมต่างๆ แม้แต่สังคมประชาธิปไตยระดับแม่แบบ ต้นแบบ ก็เถอะ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย ไม่ว่าการบังคับให้ต้อง “สวมหน้ากาก” ให้ต้อง “เว้นระยะห่าง” ระดับห้ามออกจากบ้าน จากช่องนับเป็นอาทิตย์ๆ ไปจนถึงห้ามไม่ให้ใครที่ไม่ได้ “ฉีดวัคซีน” หรือไม่มี “พาสปอร์ตวัคซีน” (Health Passport) ขึ้นช้าง ลงม้า ขึ้นรถ ลงเรือ ไปไหนต่อไหนได้โดยอิสระและเสรีเหมือนแต่ก่อน ชนิดถือเป็นจังหวะและโอกาส ที่จะต้องเร่งกระทำการ “The Great Reset” ข้อเสนอของมกุฎราชการแห่งอังกฤษ“เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” และประธาน “WEF” (World Economic Forum) อย่าง “นายKlaus Schwabs” หรือแม้แต่การหันมารีดภาษี เก็บภาษี ไปจนถึงการห้ามโน่น ห้ามนี่ ตามแบบฉบับ “Build Back Better” ของประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่ อย่าง “ผู้เฒ่าโจ ไบเดน” ก็แล้วแต่จะว่ากันไป...
หรือโดยสรุปรวมความแล้ว...ท่ามกลางความ “เสื่อมโทรม” ของระบบประชาธิปไตยแบบตะวันตก ที่ปรากฏให้เห็นต่อเนื่องมานับเป็นทศวรรษๆ มันดูจะก่อให้เกิด “แรงสวิง” ในทางที่ออกจะ “ตรงกันข้าม” กับความเป็นประชาธิปไตย อย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าการรังเกียจเหยียดหยาม เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ สีผิว การเพรียกหาอำนาจที่เบ็ดเสร็จและเด็ดขาด ในการจัดการกับ “ปัญหา” ต่างๆ ที่ออกจะสลับซับซ้อนยิ่งเข้าไปทุกที แม้แต่ประเทศประชาธิปไตยแม่แบบอย่างฝรั่งเศสที่ยอมเปิดโอกาส เปิดพื้นที่ให้กับ “นักประชาธิปไตย” แห่งประเทศไทย เข้าไปปักหลักเรียกร้องหาความเป็นประชาธิปไตยในระดับทาก็ได้ ดมก็ได้ อม-หยอด-สอด-เสียบได้เสมอๆ แต่เมื่อต้องเจอเข้ากับการ “เพรียกหาเผด็จการ” ของชาวฝรั่งเศสด้วยกันเองเช่นนี้ สุดท้ายแล้ว...จะ “แองเตอร์นาซิอองนาล” กันไปถึงขั้นไหน ต่อขั้นไหน ก็ยากที่จะสรุปได้ชัดเจน มีแต่ต้องคอยเฝ้าติดตามกันไปเป็นระยะๆ นั่นแล...