การใช้เด็กเป็นเครื่องมือเริ่มจะถึงทางตัน เพราะเด็กกำลังทยอยกันเดินเข้าคุก ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างหลังต้องออกมายืนข้างหน้า เพราะพวกเขากำลังคิดว่า ความฝันและความหวังที่จะท้าทายสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ไม่เคยมาใกล้เอื้อมขนาดนี้ ถ้าหากไม่ฉวยโอกาสตอนนี้แล้วก็คงจะหาโอกาสแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
เพราะเด็กที่ส่งไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางนั้นได้ทะลุทะลวงเพดานของสังคมไทยในการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
การเปิดตัวของ OCTDEM ของผู้ใหญ่วัยไม้ใกล้ฝั่งจำนวนหนึ่งจึงเกิดขึ้นเหมือนกับเป็นการต่อสู้เฮือกสุดท้ายที่จะสร้างฝันให้เป็นจริงในการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน และปฏิวัติโค่นล้มสังคมแบบเก่าลงให้สำเร็จ
OCTDEM ที่เปิดโฉมหน้าออกมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เคยแวดล้อมทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช สุธรรม แสงประทุม เกรียงกมล เลาหะไพโรจน์ วรชัย เหมะ ฯลฯ และคนที่เคลื่อนไหวอยู่ข้างนอกแต่สอดประสานกันในฐานะนักวิชาการอย่างชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่ชื่นชอบระบอบกษัตริย์แบบเขมร
พวกเขามีไฟแค้นที่สุมอยู่ในทรวงเพราะความพ่ายแพ้ในการโค่นล้มอำนาจรัฐเพื่อเปลี่ยนระบอบในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ในช่วงที่พวกเขายังเป็นคนหนุ่มสาวยังคงเป็นบาดแผลที่ไม่อาจลบหายไปจากความทรงจำ
หลังจากพวกเขาใช้เด็กออกหน้า โดยส่งบทที่ตัวเองไม่กล้าพูดให้เด็กเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางแทนแล้ว นี่เป็นโอกาสที่บอบช้ำที่สุดของสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นช่วงที่เปลี่ยนผ่านที่ยังไม่ตั้งมั่นในสังคมไทยได้อย่างมั่นคง จึงเป็นโอกาสที่พวกเขาจะเปิดเกมรุกก่อนที่โอกาสสุดท้ายของชีวิตจะหมดไป
หรืออย่างน้อยก็ทำให้เด็กเห็นว่า พวกเขาไม่ได้หลบอยู่ข้างหลังและยุให้เด็กออกมาต่อสู้ตามลำพัง แต่พวกเขาพร้อมที่จะออกมาปกป้องและเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเด็กที่กำลังเดินเข้าคุก
เราจึงเห็นพวกเขาออกโรงกันคึกคัก นอกจาก OCTDEM แล้ว ทักษิณในคราบของ Tony Woodsome ก็กลับมาปรากฏตัวผสานเสียงกันเพื่อเขย่าขวัญสังคมไทย ประสานไปกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มก้าวหน้า พรรคก้าวไกล และไอลอว์กับคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งที่รวมกันเป็นกลุ่ม Re-Solution เพื่อสอดรับกันเป็นกองทัพน้อยใหญ่ที่มุ่งดาหน้าเข้าถล่มโครงสร้างเก่าของสังคมไทย พวกเขาเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะประสบชัยชนะเพราะคิดว่านี่เป็นช่วงสุดท้ายของอำนาจเก่าแล้ว
นอกจากนี้พวกเขายังสามารถรวบรวมอาจารย์รุ่นใหม่เก่าในมหาวิทยาลัยได้เป็นจำนวนมากที่เปิดตัวยืนข้างกับคนรุ่นใหม่ และเป็นคนที่เคยยืนข้างกับระบอบทักษิณมาก่อน ทำให้วันนี้มหาวิทยาลัยกลายเป็นเบ้าหลอมของการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผยชัดเจน เป็นแหล่งเพาะผลไม้พิษที่ทำให้คนรุ่นใหม่เชื่อตามกันว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นส่วนเกินของระบอบประชาธิปไตยและสังคมไทย
รวมไปถึงการลงสนามของเต้นกับตู่ที่แม้ว่าเที่ยวนี้จะแยกกันเดิน แต่ก็มีวาทะที่สอดรับเกื้อหนุนกันเพื่อรวมกันตี แบบแยกบทกันเล่นเสียมากกว่า พวกเขาคงคิดเหมือนกันว่า ไม่มีโอกาสอะไรที่ดีกว่านี้ที่จะสร้างความฝันในการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินให้เป็นจริงไปกว่านี้อีกแล้ว
ขณะที่โทนี่บอกว่าเขาไม่เคยกลัวการรัฐประหาร แต่กลัวคนที่สั่งให้รัฐประหาร คำพูดนี้แท้จริงแล้วเป็นการพูดที่ท้าทายไปสู่คนที่เครือข่ายของพวกเขาออกมาส่งเสียงก่อนหน้านี้แล้วว่าเป็นผู้เซ็นรับรองการรัฐประหาร แท้จริงแล้ว “กลัว” ของโทนี่ก็มีความหมายว่า “ไม่กลัว” นั่นเอง เพราะไม่เช่นนั้นเขาคงไม่กล้าพูดคำนี้ออกมา และเป็นช่วงจังหวะที่พวกเขาเชื่อว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มีความอ่อนไหวมากที่สุด เพราะกำลังถูกท้าทายอย่างรุนแรง
พวก Re-Solution ของปิยบุตร-ธนาธร เปลี่ยนความคิดบอกว่าต้องกำจัดระบอบประยุทธ์ให้ได้ก่อน จึงค่อยไปแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 1 หมวด 2 ที่เกี่ยวกับรูปแบบของรัฐและสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นเป้าหมายของพวกเขาชัดเจนแต่แรกแล้วว่าไม่ได้จบลงแค่ประยุทธ์ แต่ฝันและหวังไปกว่านั้น
แน่นอนฝันของพวกเขาอย่างน้อยที่สุดก็คือ ทำให้พระมหากษัตริย์ต้องสาบานตนต่อรัฐสภา และไม่สามารถแสดงพระราชดำรัสต่อสาธารณะ เพื่อเป็นบันไดก้าวแรกไปสู่ความมุ่งหวังที่ไกลกว่า
เช่นเดียวกับการแสดงออกของม็อบเด็กสามนิ้วที่เราพบว่าไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องการเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น แต่มีความมุ่งหวังการล้มล้างเปลี่ยนแปลงระบอบ
แม้เด็กที่ใช้เป็นทัพหน้าจะเพลี่ยงพล้ำ แต่เด็กเหล่านั้นก็ใช้ความฮึกเหิมท้าทายโครงสร้างประเพณีจารีตและวัฒนธรรมในการพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ จนเปิดมิติใหม่ไปไกลมากแล้ว พวกผู้ใหญ่ที่หนุนหลังจึงต้องออกหน้าเคลื่อนทัพออกมาเสริมเพื่อไม่ให้สูญเสียโอกาสที่จะเขย่าโครงสร้างสังคมไทยเพื่อเป้าหมายในการลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาให้สำเร็จ ก่อนจะรุกคืบไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ
ต้องยอมรับว่า ตอนนี้เป็นโอกาสที่พวกต่อต้านระบอบกษัตริย์เข้มแข็งที่สุด และกำลังประสานสอดรับกันเคลื่อนไหวอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายและอำนาจรัฐอีกแล้ว และทำให้มวลชนจำนวนหนึ่งเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของพวกเขา และทำได้สำเร็จที่ทำให้คนรุ่นใหม่หลอมรวมกันคนเสื้อแดง พวกลุงป้าน้าอาเสื้อแดงหน้าเวทีจึงกรีดร้องสะใจอย่างเต็มอารมณ์ เมื่อเด็กพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในเชิงลบ
พวกเขามองว่าในภาวะที่รัฐบาลเป็นรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจจากเผด็จการ ความชอบธรรมย่อมเป็นของพวกเขาที่ชูธงเรื่องประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ และยิ่งอำนาจรัฐ กองทัพ และสถาบันพระมหากษัตริย์ผูกร้อยเกื้อหนุนกันด้วยแล้ว ก็ยิ่งสะท้อนถึงความผิดปกติของระบอบประชาธิปไตยที่พวกเขาตีแผ่ หรืออย่างน้อยก็ทำให้พวกเขามีความชอบธรรมกว่าในทางสากล
แต่ความหวังและความฝันของคนพวกนี้จะเป็นความจริงไหม คำตอบก็ไม่ง่ายเสียทีเดียว เพราะสังคมไทยนั้นยังมีคนจำนวนมากที่ยังคงยึดมั่นสถาบันพระมหากษัตริย์
ความแตกแยกกว่าสิบปีของสังคมไทยทุกวันนี้ ทำให้คนไทยแบ่งชัดฝั่งหนึ่งยืนข้างระบอบทักษิณ และฝั่งหนึ่งยืนข้างสถาบันพระมหากษัตริย์ วันนี้มวลชนของระบอบทักษิณก็เป็นฝ่ายที่ยืนข้างม็อบของคนรุ่นใหม่ที่กำลังท้าทายอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ สังคมไทยวันนี้จึงเป็นสังคมที่กำลังวัดพลังกันระหว่างฝ่ายที่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์ และฝ่ายที่ไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผย
ดังนั้นความหวังของพวกผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตของเด็กเป็นเดิมพันในการมุ่งหวังที่จะลดทอนบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์หรือนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองนั้น ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะบรรลุฝันได้ง่ายๆ
แน่นอนพวกเขาอาจจะเชื่อว่าคนรุ่นใหม่จะมีชีวิตที่ยืนยาวมากกว่าคนรุ่นเก่าที่ยังภักดีต่อสถาบัน แต่ยังไม่มีหลักประกันอะไรหรอกว่าคนรุ่นใหม่ที่พวกเขาผลักดันให้ออกมาเคลื่อนไหวนั้น จะเป็นคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ของสังคมไทยจริงๆ หรือว่าวันข้างหน้าพวกเขาจะไม่เปลี่ยนไปเมื่อมีความคิดที่เติบใหญ่มากขึ้น และยังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้แสดงตัว
อย่างน้อยคงจะไม่ได้เห็นความฝันความหวังของพวกเขาบรรลุเป้าหมายในช่วงชีวิตของพวกผู้ใหญ่บางคน แม้พวกเขาจะทำสำเร็จในการหว่านผลไม้พิษไว้ในแผ่นดินแล้วก็ตาม
ติดตามผู้เขียนได้ที่https://www.facebook.com/surawich.verawan