xs
xsm
sm
md
lg

ความโหดเหี้ยมของ REDEM

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้เข้าร่วมชุมนุมของม็อบสามนิ้วจะมีคนน้อยลง แต่เพิ่มความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะม็อบของกลุ่ม REDEM ที่แปลงมาจากกลุ่มเยาวชนปลดแอก เพราะกลุ่มนี้ใช้วิธีนั่งอยู่หน้าคีย์บอร์ดและปลุกคนให้มาลงถนนโดยที่ไม่มีแกนนำ หรือปล่อยให้มีแกนนำเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

กลุ่มเยาวชนปลดแอกนั้นรู้กันว่า แกนที่จัดตั้งแรกคือ ทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี หรือฟอร์ด จากจุฬาลงกรณ์ซึ่งเป็นคนของพรรคอนาคตใหม่ ฟอร์ดเป็นคนจุดพลุในฝั่งจุฬาฯ ประสานกับเพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่จุดพลุในธรรมศาสตร์ จุดร่วมของทั้งสองคือเป็นสมาชิกของพรรคอนาคตใหม่ ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า ม็อบนี้ได้รับการสนับสนุนจากใคร

วันนี้ทั้งธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และปิยบุตร แสงกนกกุล รวมถึงพรรคก้าวไกลก็แสดงตัวชัดเจนว่าพวกเขาอยู่เบื้องหลังม็อบ เช่นเดียวกับนักวิชาการในมหาวิทยาลัยทั้งอดีตและปัจจุบันจำนวนหนึ่ง

แต่ฟอร์ด จากฟากจุฬาฯ ต่างกับเพนกวินจากฟากธรรมศาสตร์ที่มีบุคลิกที่ก้าวร้าวทะลุทะลวง จึงมีคดีความน้อยกว่า และเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังกว่าไม่สุ่มเสี่ยงเหมือนเพนกวิน ซึ่งอาจจะมาจากบุคลิกที่เป็นรสนิยมเรื่องเพศสภาพของฟอร์ดเอง

แต่ทั้งสองฟอร์ดและเพนกวินก็ประสบความสำเร็จในการสร้างกระแสในช่วงแรกที่ทำให้ม็อบลามไปทุกสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ

เวลาคนเห็นเทเลแกรมหรือเพจของเยาวชนปลดแอก ออกมารณรงค์เรื่องแรงงาน คอมมิวนิสต์ หรือรัฐสวัสดิการ คนมักนึกถึงใจ อึ๊งภากรณ์ แต่จริงๆ แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังเด็กกลุ่มนี้กลับเป็นดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ตอนที่เยาวชนปลดแอกออกมารณรงค์เรื่องคอมมิวนิสต์ก็เกิดความแตกแยกกับกลุ่มอื่น เพราะไม่มีใครเอาด้วยกับแนวคิดคอมมิวนิสต์ ไม่มีใครอยากกลับไปทำนารวมและถือครองทรัพย์สินร่วมกันอีก จนทำให้เยาวชนปลดแอกเป๋ไปพักหนึ่ง ถูกฝั่งธรรมศาสตร์ออกมาปฏิเสธแนวคิด ก่อนที่จะมีการรีแบรนด์ตัวเองในนามของ REDEM โดยอาศัยว่าเพจของเยาวชนปลดแอกและเทเลแกรมมีผู้ติดตามมาก และเป็นเครื่องมือที่คอยบอกการเคลื่อนไหวนัดหมายมวลชนเป็นกลุ่มแรกๆ

เมื่อรัฐบาลเอาจริงกับการใช้มาตรการทางกฎหมายในการจัดการกับแกนนำ เยาวชนปลดแอกจึงใช้วิธีที่เสมือนว่าเป็นประชาธิปไตยและทุกคนมีความเท่าเทียมกันคือ ทุกคนเป็นแกนนำ มีการเปิดให้โหวตว่าจะชุมนุมวันไหน เลือกที่ไหน ซึ่งดูเผินเหมือนกับการเปิดกว้าง แอดมินเพจก็กำหนดวันและสถานที่ที่รู้อยู่แล้วว่า ต้องเลือกวันนั้นและสถานที่นั้น เช่น ส่วนใหญ่ก็ต้องเลือกวันเสาร์ แต่มันทำให้มวลชนเห็นว่าตัวเองมีส่วนร่วมและมีส่วนในกำหนดทิศทางของม็อบ

ด้วยการที่มีสมาชิกคนติดตามมากและวิธีการที่ REDEM เลือกใช้จึงทำให้ทุกครั้งมักจะเรียกมวลชนได้เยอะกว่าทุกกลุ่ม แต่การออกแบบให้ม็อบไม่มีแกนนำจะตามมาด้วยความรุนแรงทุกครั้ง เพราะเป็นธรรมชาติของม็อบหรือฝูงชนที่ออกมารวมตัวกัน โดยหลักแล้วการระดมมวลชนไปร่วมชุมนุมจำนวนมากนั้นต้องมีแกนนำที่มีศิลปะในการควบคุมมวลชน ยกเว้นว่าจะมีเจตนาเพื่อให้เกิดเรื่องและความรุนแรงขึ้นเท่านั้น

และดูเหมือนคนที่อยู่เบื้องหลังคือคนที่นั่งเคาะอยู่หน้าคีย์บอร์ดของเพจและเทเลแกรมเยาวชนปลดแอกต้องการให้เป็นอย่างนั้น และผลลัพธ์ก็เป็นไปอย่างที่พวกเขาต้องการทุกครั้งคือมีความรุนแรงเกิดขึ้น แม้กระทั่งสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ซึ่งเป็นศาสดาของพวกเขาก็บอกว่าไม่เห็นด้วยกับการกระทำแบบนี้ เพราะสมศักดิ์มองเห็นถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั่นเอง

เราได้เห็นเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นที่หน้ากรมทหารราบที่ 1 และเห็นความรุนแรงครั้งล่าสุดที่สนามหลวงและถนนราชดำเนินมาแล้ว มวลชนจำนวนมากถูกจับกุม แต่ไม่มีแกนนำตัวสำคัญที่นั่งบงการอยู่หน้าคีย์บอร์ดเลย นี่เป็นการสะท้อนถึงความไม่รับผิดชอบต่อมวลชนและต้องการปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงเพื่อจะใช้เป็นเงื่อนไขในการโจมตีฝั่งรัฐบาลว่าใช้ความรุนแรงกับประชาชน

ต้องยอมรับนะครับว่า ณ วันนี้มีคนเข้าร่วมกับม็อบน้อยลงมาก มวลชนจำนวนมากเริ่มเห็นแล้วว่าม็อบเน้นใช้วิธีความรุนแรงและก้าวร้าวมากขึ้น มีการกระทำที่ไม่บังควรเกิดขึ้น จนกระทั่งมีสภาพคล้ายๆ กับฮ่องกงก่อนหน้านี้ ในขณะที่คนที่อยู่เบื้องหลังม็อบอยากจะให้ไทยเป็นแบบพม่า ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะในเมืองไทยนั้นมีคนจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับม็อบ ไม่ใช่แบบคนพม่าที่ลุกฮือขึ้นพร้อมกัน

นอกจากนั้นในม็อบยังเกิดความขัดแย้งแตกแยกกันเองภายใน จนมีการแฉเปิดโปงตอบโต้กันไปมาของคนที่เป็นแกนหลักๆ เรื่องเงินเรื่องทองซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของม็อบและทำให้เกิดความแตกแยกมาทุกสมัย จำได้ว่าในสมัยของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นต้องนำบัญชีรายรับรายจ่ายมาแสดงทุกวันในเว็บไซต์เพื่อลดข้อครหา แต่คนที่ถือบัญชีหลักของม็อบตอนนี้กลับไม่ยอมแสดงบัญชีเลย

จริงๆ แล้วพวกผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างหลังม็อบ รู้ว่าการระดมแบบ REDEM นั้นนำมาสู่ความรุนแรงขึ้นทุกครั้ง แต่คนพวกนี้ก็ต้องการให้เป็นแบบนี้ต่อไป เพราะสามารถเรียกคนได้เยอะ และสร้างสถานการณ์ที่เป็นความรุนแรงเกิดขึ้นมาได้ และต้องการให้ม็อบสร้างเงื่อนไขที่ท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ลงเงื่อนไขลงมา

อธึกกิต แสวงสุข หรือใบตองแห้ง ประชาไท ลูกน้องของโอ๊ค พานทองแท้จากวอยซ์ทีวีบอกว่า ต้องม็อบอย่าง REDEM จึงจะท้าทาย ชวนไปราบ 1 ชวนไป “เผาขยะ” ชวนไปส่งสาส์น ทั้งที่ตั้งตู้คอนเทนเนอร์ขวางเห็นๆ แต่ได้แสดงออกซึ่งการต่อต้าน กล้าหาญ ท้าทาย เป็นกบฏ เย้ยหยัน ม็อบไม่มีแกนนำ ก็ทำให้รู้สึกเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องฟังปราศรัยเพราะรู้แก่ใจกันหมดแล้ว แม้มันเป็น Dilemma เพราะความเสี่ยงลดทอนจำกัดคนที่จะมาร่วมม็อบน้อยลง

แสดงว่า พวกที่อยู่เบื้องหลังม็อบนั้นไม่ได้สนใจว่าม็อบจะเกิดความรุนแรงหรือไม่ จะมีใครถูกจับกุมหรือไม่ ทั้งที่เห็นอยู่แล้วว่า ม็อบไม่มีแกนนำนั้นยิ่งจะสร้างความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น และเริ่มจะมีเครื่องไม้เครื่องมือและอาวุธในการตอบโต้กับตำรวจ คือพยายามบอกว่า แม้จะรุนแรงมากขึ้นแล้วทำให้คนน้อยลงก็ไม่จำเป็นต้องลดความรุนแรงลง ถือเป็นความโหดเหี้ยมอย่างมากของผู้ใหญ่ที่คอยให้ท้ายม็อบอยู่ด้านหลัง

และสิ่งที่พวกเขาอยู่ข้างหลังม็อบแต่ไม่ยอมออกหน้าพูดชัดเจนก็คือ ไม่ต้องการให้ม็อบลดทอนเรื่องการท้าทายสถาบันพระมหากษัตริย์ลง แม้หลายคนจะถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 ก็ตาม

หรือพูดได้เลยว่า ตอนนี้พวกที่อยู่ข้างหลังม็อบต้องการศพแรกจากการชุมนุม เพื่อจะเป็นเงื่อนไขในการปลุกระดมว่ารัฐบาลเผด็จการสังหารประชาชนเพื่อปลุกมวลชนให้ลุกฮือขึ้น ซึ่งเป็นความคิดที่โหดเหี้ยมมากๆ

ต้องยอมรับว่า วันนี้พวกผู้ใหญ่ที่เคยล้มเหลวมาจากการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน 6 ตุลาคม 2519 พวกอาจารย์มหาวิทยาลัยและนักวิชาการที่นิยมสาธารณรัฐทำสำเร็จแล้วที่ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากชิงชังสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อมุ่งหวังเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองไปในแนวทางที่ตัวเองปรารถนา

กระทั่งไม่สนใจว่าจะเกิดความรุนแรงที่ต้องแลกด้วยเลือดเนื้อ และชีวิตของคนจำนวนมากก็ตาม

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น