"ซูเปอร์โพล"ชี้ขบวนการมุ่งแก้ มาตรา112 จัดประท้วงแบบต้องการให้เกิดความรุนแรง จี้ทุกกลุ่มหยุดการชุมนุมช่วงโควิดแพร่ระบาด เผยคนไทยเห็นด้วยปฏิบัติการตำรวจจัดการม็อบ
วานนี้ (14ก.พ.) นายนพดล กรรณิกา ผอ.สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจภาคสนามเรื่อง "ความกังวล แก้ ม.112" จากกลุ่มตัวอย่าง ประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ 1,376 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 11–13ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 98.3 เชื่อว่า ขบวนการมุ่งแก้กฎหมาย มาตรา 112 ลดโทษ อันตรายต่อสถาบันหลักของชาติมากยิ่งขึ้นไปอีก ในขณะที่ร้อยละ 1.7 ไม่เชื่อ
ที่น่าห่วง คือส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.1 กังวล ขบวนการแก้กฎหมาย มาตรา 112 ต้องการให้เกิดความรุนแรง ในขณะที่ ร้อยละ 2.9 ไม่กังวล และที่น่าพิจารณา คือส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.6 เชื่อว่า ขบวนการแก้กฎหมาย มาตรา 112 ใช้ความกลัวของประชาชน เป็นจุดกระตุ้นให้ประชาชนเคลื่อนไหว ในขณะที่ ร้อยละ 1.4 ไม่เชื่อ
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 99.6 ระบุ หยุดการเคลื่อนไหวชุมนุมทุกรูปแบบในช่วงโควิด ระบาด ทั้งเรื่องการเมืองพม่า และแก้ ม.112 เพราะเป็นแหล่งแพร่เชื้อโควิด กลุ่มผู้ชุมนุมกำลังทำร้าย สร้างความไม่ปลอดภัยให้กับประชาชนทั้งประเทศ
นอกจากนี้ ร้อยละ 99.1 ระบุ ปัญหาการเมืองของพม่า เป็นเรื่องของพม่า คนไทยมาช่วยกันแก้วิกฤตชาติ และความทุกข์ยากของประชาชนจะดีกว่า ร้อยละ 98.6 เห็นด้วย กับการปฏิบัติการของตำรวจต่อกลุ่มผู้ชุมนุม , ร้อยละ 97.3 ระบุ ต่อต้านการชุมนุม ทุกเหตุผลทั้งการเมืองในพม่า และการแก้กฎหมาย มาตรา 112 และ ร้อยละ 94.8 ระบุ ควรจัดการกับต่างชาติกับคนไทยบางคน เช่น องค์กรต่างชาติท่อน้ำเลี้ยง นักการเมือง นักลงทุน นักวิชาการ และส.ส. ที่อยู่เบื้องหลังปลุกปั่น ทำบ้านเมืองวุ่นวาย คนในชาติแตกแยก
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า "แก้ทำไม ถ้าไม่คิดร้ายผู้อื่น" ดังนั้น"หยุดม็อบ แตะ ม. 112" คือทางรอดของประเทศ และประชาชน ไม่ตกเป็นเหยื่อของการปลุกปั่นสร้างความแตกแยกของคนในชาติ ผู้ใดมีเจตนาดี ไม่คุกคามผู้อื่น ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ดูหมิ่นผู้อื่นย่อมไม่เดือดร้อนจากกฎหมาย มาตรา 112 แต่ผู้ที่มีเจตนาไม่ดีแอบแฝง มีจิตที่มุ่งคุกคามผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่นย่อมจะต้องการแก้มาตรา 112 และ ถ้าขบวนการและกลุ่มผู้สนับสนุนเหล่านี้ชนะ แก้ไขมาตรานี้ได้ พวกเขาคงจะมีเป้าหมายที่น่ากลัวมากขึ้นไปอีก ถึงขั้นจะเอาผิดอะไรต่างๆ ตามมาอีกมากมาย อย่างน่าสะพรึงกลัวในการทำลายสถาบันหลักของชาติ และทำร้ายจิตศรัทธาผู้อื่น เป็นเรื่องที่น่าพิจารณา
"ผลโพลนี้ ยังชี้ให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย กับการปฏิบัติการของตำรวจในการจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจไทย ทำได้ดีกว่าหลายประเทศ ที่ประเทศเหล่านั้นใช้กระสุนจริงจัดการม็อบรุนแรงกว่าประเทศไทยมาก การปฏิบัติการของตำรวจ ทำได้สูงกว่ามาตรฐานสากล แต่ทำไมหน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจึงไม่ทำงานโดดเด่นจัดการขบวนการเบื้องหลังทั้งองค์กรต่างชาติท่อน้ำเลี้ยงและนักการเมือง นักลงทุน นักวิชาการ ส.ส. ที่ออกมาใช้ตำแหน่งประกันผู้ทำความผิดต่างๆ เหล่านี้ ถูกต้องหรือไม่ ทำไมจึงเงียบกริบ ไม่ทำหน้าที่กันเป็นทีม รออะไร" ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าว
วานนี้ (14ก.พ.) นายนพดล กรรณิกา ผอ.สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจภาคสนามเรื่อง "ความกังวล แก้ ม.112" จากกลุ่มตัวอย่าง ประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ 1,376 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 11–13ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 98.3 เชื่อว่า ขบวนการมุ่งแก้กฎหมาย มาตรา 112 ลดโทษ อันตรายต่อสถาบันหลักของชาติมากยิ่งขึ้นไปอีก ในขณะที่ร้อยละ 1.7 ไม่เชื่อ
ที่น่าห่วง คือส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.1 กังวล ขบวนการแก้กฎหมาย มาตรา 112 ต้องการให้เกิดความรุนแรง ในขณะที่ ร้อยละ 2.9 ไม่กังวล และที่น่าพิจารณา คือส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.6 เชื่อว่า ขบวนการแก้กฎหมาย มาตรา 112 ใช้ความกลัวของประชาชน เป็นจุดกระตุ้นให้ประชาชนเคลื่อนไหว ในขณะที่ ร้อยละ 1.4 ไม่เชื่อ
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 99.6 ระบุ หยุดการเคลื่อนไหวชุมนุมทุกรูปแบบในช่วงโควิด ระบาด ทั้งเรื่องการเมืองพม่า และแก้ ม.112 เพราะเป็นแหล่งแพร่เชื้อโควิด กลุ่มผู้ชุมนุมกำลังทำร้าย สร้างความไม่ปลอดภัยให้กับประชาชนทั้งประเทศ
นอกจากนี้ ร้อยละ 99.1 ระบุ ปัญหาการเมืองของพม่า เป็นเรื่องของพม่า คนไทยมาช่วยกันแก้วิกฤตชาติ และความทุกข์ยากของประชาชนจะดีกว่า ร้อยละ 98.6 เห็นด้วย กับการปฏิบัติการของตำรวจต่อกลุ่มผู้ชุมนุม , ร้อยละ 97.3 ระบุ ต่อต้านการชุมนุม ทุกเหตุผลทั้งการเมืองในพม่า และการแก้กฎหมาย มาตรา 112 และ ร้อยละ 94.8 ระบุ ควรจัดการกับต่างชาติกับคนไทยบางคน เช่น องค์กรต่างชาติท่อน้ำเลี้ยง นักการเมือง นักลงทุน นักวิชาการ และส.ส. ที่อยู่เบื้องหลังปลุกปั่น ทำบ้านเมืองวุ่นวาย คนในชาติแตกแยก
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า "แก้ทำไม ถ้าไม่คิดร้ายผู้อื่น" ดังนั้น"หยุดม็อบ แตะ ม. 112" คือทางรอดของประเทศ และประชาชน ไม่ตกเป็นเหยื่อของการปลุกปั่นสร้างความแตกแยกของคนในชาติ ผู้ใดมีเจตนาดี ไม่คุกคามผู้อื่น ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ดูหมิ่นผู้อื่นย่อมไม่เดือดร้อนจากกฎหมาย มาตรา 112 แต่ผู้ที่มีเจตนาไม่ดีแอบแฝง มีจิตที่มุ่งคุกคามผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่นย่อมจะต้องการแก้มาตรา 112 และ ถ้าขบวนการและกลุ่มผู้สนับสนุนเหล่านี้ชนะ แก้ไขมาตรานี้ได้ พวกเขาคงจะมีเป้าหมายที่น่ากลัวมากขึ้นไปอีก ถึงขั้นจะเอาผิดอะไรต่างๆ ตามมาอีกมากมาย อย่างน่าสะพรึงกลัวในการทำลายสถาบันหลักของชาติ และทำร้ายจิตศรัทธาผู้อื่น เป็นเรื่องที่น่าพิจารณา
"ผลโพลนี้ ยังชี้ให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย กับการปฏิบัติการของตำรวจในการจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจไทย ทำได้ดีกว่าหลายประเทศ ที่ประเทศเหล่านั้นใช้กระสุนจริงจัดการม็อบรุนแรงกว่าประเทศไทยมาก การปฏิบัติการของตำรวจ ทำได้สูงกว่ามาตรฐานสากล แต่ทำไมหน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจึงไม่ทำงานโดดเด่นจัดการขบวนการเบื้องหลังทั้งองค์กรต่างชาติท่อน้ำเลี้ยงและนักการเมือง นักลงทุน นักวิชาการ ส.ส. ที่ออกมาใช้ตำแหน่งประกันผู้ทำความผิดต่างๆ เหล่านี้ ถูกต้องหรือไม่ ทำไมจึงเงียบกริบ ไม่ทำหน้าที่กันเป็นทีม รออะไร" ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าว