ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง "เชื่อมั่น 3 ป. ผ่าน" กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,730 ตัวอย่าง พบว่าส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 90.9 คาดหวังต่อข้อมูลของฝ่ายค้าน แน่น น่าเชื่อถือ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในขณะที่ร้อยละ 9.1 ไม่คาดหวัง นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 90.2 ระบุ พรรคร่วมรัฐบาลทำงานมีปัญหาจริงตามที่ฝ่ายค้านตั้งโจทย์ ขณะที่ร้อยละ 9.8 ระบุ ไม่ได้มีปัญหาในการทำงาน
ที่น่าสนใจคือ เกือบร้อยละร้อย หรือร้อยละ 99.3 ระบุ หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ ต้องการให้มีการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 98.3 ระบุ ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง มากกว่า ผลประโยชน์ชาติ และร้อยละ 93.0 ระบุ ต้นเหตุอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะ หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ ปล่อยปละละเลย ทุจริต ขนแรงงานเถื่อน บ่อนพนัน ยาเสพติด และอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 86.8 เชื่อมั่นต่อ 3 ป. ได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะสามารถผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ฉลุย
ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล กล่าวว่า แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ ใครทำอะไรไว้ไม่ดีต่อชาติบ้านเมือง ทั้งที่แยบยล และไม่แยลยล ย่อมจะมีพลังอะไรบางอย่างจัดการกวาดให้เรียบ ยิ่งถ้าขั้วอำนาจใดมีรากลึกแข็งแกร่งเกินไป ขั้วอำนาจที่เหลือก็จะอ่อนแอ ยวบยาบ และบ้านเมืองก็จะเคลื่อนยาก เสาหลักต่างๆ อาจจะโคลงเคลง เพราะขาดความสมดุลแห่งอำนาจที่ดี
ผศ.ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ดังนั้น การถ่วงดุลอำนาจต่างๆ โดยเฉพาะการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อแผ่นดินนี้ เป็นเรื่องจำเป็น และหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจจำเป็นต้องพิจารณาการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าการปรับคณะรัฐมนตรี นั่นคือการถ่วงดุลอำนาจไม่ให้ใครมีอำนาจคับฟ้ามากจนเกินไป เพราะอำนาจเป็นแหล่งผลประโยชน์ ที่ถ้าใครครอบครองมากเกินไปก็จะแข็งแกร่งมากเกิน จนขั้วอำนาจอื่นๆ ที่เหลืออยู่จะอ่อน ยวบยาบ ในวันหนึ่งข้างหน้า จนความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชนจะถูกละเลย โดยเสียงที่ทุกข์ยากของประชาชนจะไปไม่ถึงผู้ปกครองสูงสุด "สมมาตรแห่งอำนาจ" จึงจำเป็น