ผู้จัดการรายวัน360- กมธ.กฎหมายฯ เรียกอัยการแจง ปม"น้องธนาธร" ติดสินบน เช่าที่สำนักทรัพย์สินฯไม่ผ่านการประมูล "สิระ"ซัดอัยการทำคดีไม่ชอบมาพากล "วัชระ" แฉเช็คติดสินบนเป็นของ "บ.เรียลแอสเสท-สกุลธร" จี้กองปราบเร่งสรุปสำนวนคดีหลังผ่านมาเกือบ 2 ปียังไม่คืบ
วานนี้ (20 ม.ค.) มีการประชุมกมธ.กฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร วาระการพิจารณาข้อเท็จจริงกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องประเด็นการได้สิทธิเช่าที่ดินระยะยาว บนพื้นที่ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยไม่ผ่านกระบวนการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติ ตามที่ นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นเรื่องต่อกมธ. เพื่อตรวจสอบ นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเรียล แอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นน้องชาย นายธนาธร จึงรุ่นเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่มีการให้เงินจำนวน 20 ล้านบาท กับเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ เพื่อแลกกับการได้สิทธิเช่าที่ดินดังกล่าว
ทั้งนี้ กมธ.ได้เชิญผู้แทนจากสำนักงานอัยการ ผู้แทนจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และผู้แทนจากกองบังคับการปราบปรามเข้าชี้แจง โดยฝ่ายอัยการ มีนายวีรพล โมระกรานต์ อัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต นายประเสริฐ จรัญรัตนศรี อัยการผู้เชี่ยวชาญ เข้าชี้แจง ส่วนฝ่ายตำรวจได้ขอชี้แจงมาเป็นเอกสารแทน
นายสิระ เจนจาคะ ประธานกมธ. ตั้งคำถามว่า เหตุใดคดีนี้ มีการดำเนินคดีกับผู้เรียกรับเงินคือเจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯ กับนายหน้า เพียง 2 รายเท่านั้น แต่ไม่ดำเนินคดีกับ นายสกุลธร ประชาชนจึงสงสัยว่า ทำไมดำเนินคดีกับผู้รับ แต่ไม่ดำเนินคดีกับผู้ให้ โดยนายวีรพล ซึ่งเป็นผู้แทนจากสำนักงานอัยการ ชี้แจงว่า คดีนี้อัยการได้สอบถามไปยังพนักงานสวบสวน ทราบว่าได้แยกดำเนินคดี กรณีของนายสกุลธร ออกมาเป็นอีกคดีหนึ่ง ทำให้ในสำนวนของพนักงานสอบสวนที่ส่งมาสำนวนแรก ยังไม่ชื่อของนายสกุลธร เป็นผู้ต้องหา อัยการจึงไม่สามารถฟ้องดำเนินคดีกับนายสกุลธรได้ และอัยการก็ไม่มีอำนาจไปก้าวล่วงให้ทางตำรวจต้องดำเนินคดีกับนายสกุลธร แต่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำเรื่องมาข้อเท็จจริงก็ชัดว่า นายสกุลธร มีส่วนร่วมในกรณีนี้ เพียงแต่ตำรวจยังไม่ดำเนินการสอบสวน และตั้งเป็นผู้ต้องหา ทำให้อัยการได้แต่รอว่าพนักงานสอบสวน จะส่งสำนวนคดีของนายสกุลธร มาเมื่อไร เพื่อจะได้พิจารณาว่านายสกุลธร ผิดหรือไม่
ด้านนายประเสริฐ จรัญรัตนศรี อัยการผู้เชี่ยวชาญ ชี้แจงว่า เหตุผลที่นายสกุลธร ในฐานะผู้ให้เงิน แต่ไม่ถูกดำเนินคดี เป็นเพราะกรณีคนให้เงิน เป็นอีกบริบทหนึ่งว่าเป็นการให้เงินเพื่อให้เจ้าหน้าที่ไปกระทำผิดต่อหน้าที่ หรือไม่ ซึ่งจากสำนวนมีพยานให้การว่า การเงินให้ของนายสกุลธร ทำให้คดีไม่ชัดเจนว่า นายสกุลธร ให้เงินโดยรู้อยู่แล้วว่า จะมีการกระทำความผิด เพราะทั้ง 2 ฝ่าย มีการประสานงานกันอย่างเปิดเผย ไม่ได้ติดต่อกันทางลับ แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ 1 กลับไม่ได้เปิดเผยชัดเจนว่า เป็นเจ้าหน้าที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินฯ จึงเป็นการหลอกลวงของ ผู้ต้องหาที่ 1 คดีนี้จึงเป็นเรื่องก้ำกึ่งว่า นายสกุลธร รู้เห็นกระบวนการทั้งหมดหรือไม่
อย่างไรก็ตาม นายสิระ มองว่าการที่นายหน้าฝ่ายนายสกุลธร ซึ่งมาเป็นพยาน และอ้างว่าไม่ทราบกระบวนการขอเช่าที่นั้น ฟังไม่ขึ้น ทั้งที่อาชีพนายหน้าต้องรู้ว่า การจะได้ที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ มาต้องผ่านการประมูล จึงตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดอัยการไม่มีเหตุสงสัยในประเด็นนี้ เข้าข่ายเป็นการช่วยเหลือกันหรือไม่ ไม่เช่นนั้นเท่ากับว่าใครพูดอะไรก็เชื่อหมด หากเป็นการให้ข้อมูลเท็จจะเป็นอย่างไร แม้ว่าศาลต้องพิจารณาตามสำนวนที่ส่งมา แต่เมื่อต้นน้ำมันสกปรก อัยการซึ่งอยู่กลางน้ำ กลับไม่ทำเรื่องที่มาแบบสกปรกให้มันขาวขึ้น บางคดีสอบจนมัดแน่น ถึงจะสั่งฟ้อง แต่คดีนี้รู้องค์ประกอบทุกอย่าง แต่กลับไม่สอบ ส่วนตัวเชื่อว่าคดีนี้มีความผิดปกติแน่นอน
ด้านนายวัชระ เพชรทอง ในฐานะผู้ร้อง ตั้งข้อสังเกตถึงการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีนี้ ที่มีการทำคดีมาตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย. 62 กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งที่ในชั้นสอบสวนพบว่า นายสกุลธร เข้าข่ายใช้ผู้ต้องหาที่ 2 หรือนายหน้าในการกระทำความผิด ไม่ได้เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย จึงเรียกร้องให้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผู้บังคับการปราบราม ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีนี้ เร่งดำเนินการตามกฎหมาย เพราะมีหลักฐานการสั่งจ่ายสินบน ทั้งที่ออกในนามบริษัท และที่ออกโดยชื่อของนายสกุลธรเอง อย่างชัดเจน
นายวัชระ กล่าวว่า ในข้อเท็จจริง มีคำพิพากษาจากศาล ระบุถึงนายสกุลธร ได้ติดสินบน จำเลยทั้ง 2ราย ที่เป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ และนายหน้าค้าที่ดิน จำนวน 3 งวด โดยตัวแทนอัยการร่วมชี้แจงถึง เช็คที่มีการสั่งจ่ายให้จำเลย โดยเช็คใบแรก ลงวันที่ 6 มี.ค. 60 สั่งจ่ายในนาม บริษัทเรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จากธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา เพชรบุรีตัดใหม่ เลขที่ 043-304-4665 สั่งจ่ายไปถึงนายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช จำเลยในคดี จำนวน 5 ล้านบาท เช็คใบที่สอง เมื่อวันที่ 27ก.ย.60 จากธนาคารกรุงเทพ ในนาม นายสกุลธร จำนวน 5 ล้านบาท ไปถึงจำเลยในคดี และเช็คใบที่สาม สั่งจ่ายในนาม นายสกุลธร จากธนาคารกรุงเทพ เมื่อวันที่ 21ธ.ค.60 จำนวน 10 ล้านบาท ถึงจำเลยในคดี รวมเช็ค 3 ฉบับ เป็นเงิน 20 ล้านบาท
แม้ในการชี้แจงครั้งนี้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ ไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง แต่ส่งหนังสือชี้แจงว่า ปัจจุบันยังไม่ได้พิจารณามีความเห็นทางคดี แต่ก่อนหน้านี้ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ได้ทำหนังสือถึงอัยการ สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 2ราย ว่า มีเจตนานำเงินไปให้แก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำผิดหน้าที่ ช่วยเหลือบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ให้ได้สิทธิเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ โดยไม่ผ่านขั้นตอนตามปกติ จึงเข้าลักษณะเป็นการใช้ให้ผู้ต้องหาทั้งสองไปกระทำความผิด นายสกุลธร จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป ทั้งที่มีหลักฐานปรากฏเป็นเช็คที่ถูกสั่งจ่ายในนามบริษัทเรียลแอสเสทฯ ซึ่งมี นายสกุลธร เป็นประธานฯ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขณะเกิดเหตุก็เป็นกรรมการบริษัทดังกล่าว
"ขอเรียกร้องให้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายต่อ นายสกุลธร และบริษัทเรียล แอสเสทฯ ที่ติดสินบนเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 500 ล้านบาท แต่แบ่งจ่ายก่อน 3 งวด จำนวน 20 ล้านบาท และขอให้เพิ่มผู้ต้องหาในคดี นอกจากนายสกุลธรแล้ว ให้มี บริษัทเรียลแอสเสทฯ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เพราะขณะเกิดเหตุต่างเป็นถือหุ้น และเป็นกรรมการบริษัทดังกล่าวเช่นกัน" นายวัชระ กล่าว
วานนี้ (20 ม.ค.) มีการประชุมกมธ.กฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร วาระการพิจารณาข้อเท็จจริงกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องประเด็นการได้สิทธิเช่าที่ดินระยะยาว บนพื้นที่ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยไม่ผ่านกระบวนการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติ ตามที่ นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นเรื่องต่อกมธ. เพื่อตรวจสอบ นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเรียล แอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นน้องชาย นายธนาธร จึงรุ่นเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่มีการให้เงินจำนวน 20 ล้านบาท กับเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ เพื่อแลกกับการได้สิทธิเช่าที่ดินดังกล่าว
ทั้งนี้ กมธ.ได้เชิญผู้แทนจากสำนักงานอัยการ ผู้แทนจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และผู้แทนจากกองบังคับการปราบปรามเข้าชี้แจง โดยฝ่ายอัยการ มีนายวีรพล โมระกรานต์ อัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต นายประเสริฐ จรัญรัตนศรี อัยการผู้เชี่ยวชาญ เข้าชี้แจง ส่วนฝ่ายตำรวจได้ขอชี้แจงมาเป็นเอกสารแทน
นายสิระ เจนจาคะ ประธานกมธ. ตั้งคำถามว่า เหตุใดคดีนี้ มีการดำเนินคดีกับผู้เรียกรับเงินคือเจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯ กับนายหน้า เพียง 2 รายเท่านั้น แต่ไม่ดำเนินคดีกับ นายสกุลธร ประชาชนจึงสงสัยว่า ทำไมดำเนินคดีกับผู้รับ แต่ไม่ดำเนินคดีกับผู้ให้ โดยนายวีรพล ซึ่งเป็นผู้แทนจากสำนักงานอัยการ ชี้แจงว่า คดีนี้อัยการได้สอบถามไปยังพนักงานสวบสวน ทราบว่าได้แยกดำเนินคดี กรณีของนายสกุลธร ออกมาเป็นอีกคดีหนึ่ง ทำให้ในสำนวนของพนักงานสอบสวนที่ส่งมาสำนวนแรก ยังไม่ชื่อของนายสกุลธร เป็นผู้ต้องหา อัยการจึงไม่สามารถฟ้องดำเนินคดีกับนายสกุลธรได้ และอัยการก็ไม่มีอำนาจไปก้าวล่วงให้ทางตำรวจต้องดำเนินคดีกับนายสกุลธร แต่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำเรื่องมาข้อเท็จจริงก็ชัดว่า นายสกุลธร มีส่วนร่วมในกรณีนี้ เพียงแต่ตำรวจยังไม่ดำเนินการสอบสวน และตั้งเป็นผู้ต้องหา ทำให้อัยการได้แต่รอว่าพนักงานสอบสวน จะส่งสำนวนคดีของนายสกุลธร มาเมื่อไร เพื่อจะได้พิจารณาว่านายสกุลธร ผิดหรือไม่
ด้านนายประเสริฐ จรัญรัตนศรี อัยการผู้เชี่ยวชาญ ชี้แจงว่า เหตุผลที่นายสกุลธร ในฐานะผู้ให้เงิน แต่ไม่ถูกดำเนินคดี เป็นเพราะกรณีคนให้เงิน เป็นอีกบริบทหนึ่งว่าเป็นการให้เงินเพื่อให้เจ้าหน้าที่ไปกระทำผิดต่อหน้าที่ หรือไม่ ซึ่งจากสำนวนมีพยานให้การว่า การเงินให้ของนายสกุลธร ทำให้คดีไม่ชัดเจนว่า นายสกุลธร ให้เงินโดยรู้อยู่แล้วว่า จะมีการกระทำความผิด เพราะทั้ง 2 ฝ่าย มีการประสานงานกันอย่างเปิดเผย ไม่ได้ติดต่อกันทางลับ แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ 1 กลับไม่ได้เปิดเผยชัดเจนว่า เป็นเจ้าหน้าที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินฯ จึงเป็นการหลอกลวงของ ผู้ต้องหาที่ 1 คดีนี้จึงเป็นเรื่องก้ำกึ่งว่า นายสกุลธร รู้เห็นกระบวนการทั้งหมดหรือไม่
อย่างไรก็ตาม นายสิระ มองว่าการที่นายหน้าฝ่ายนายสกุลธร ซึ่งมาเป็นพยาน และอ้างว่าไม่ทราบกระบวนการขอเช่าที่นั้น ฟังไม่ขึ้น ทั้งที่อาชีพนายหน้าต้องรู้ว่า การจะได้ที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ มาต้องผ่านการประมูล จึงตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดอัยการไม่มีเหตุสงสัยในประเด็นนี้ เข้าข่ายเป็นการช่วยเหลือกันหรือไม่ ไม่เช่นนั้นเท่ากับว่าใครพูดอะไรก็เชื่อหมด หากเป็นการให้ข้อมูลเท็จจะเป็นอย่างไร แม้ว่าศาลต้องพิจารณาตามสำนวนที่ส่งมา แต่เมื่อต้นน้ำมันสกปรก อัยการซึ่งอยู่กลางน้ำ กลับไม่ทำเรื่องที่มาแบบสกปรกให้มันขาวขึ้น บางคดีสอบจนมัดแน่น ถึงจะสั่งฟ้อง แต่คดีนี้รู้องค์ประกอบทุกอย่าง แต่กลับไม่สอบ ส่วนตัวเชื่อว่าคดีนี้มีความผิดปกติแน่นอน
ด้านนายวัชระ เพชรทอง ในฐานะผู้ร้อง ตั้งข้อสังเกตถึงการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีนี้ ที่มีการทำคดีมาตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย. 62 กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งที่ในชั้นสอบสวนพบว่า นายสกุลธร เข้าข่ายใช้ผู้ต้องหาที่ 2 หรือนายหน้าในการกระทำความผิด ไม่ได้เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย จึงเรียกร้องให้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผู้บังคับการปราบราม ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีนี้ เร่งดำเนินการตามกฎหมาย เพราะมีหลักฐานการสั่งจ่ายสินบน ทั้งที่ออกในนามบริษัท และที่ออกโดยชื่อของนายสกุลธรเอง อย่างชัดเจน
นายวัชระ กล่าวว่า ในข้อเท็จจริง มีคำพิพากษาจากศาล ระบุถึงนายสกุลธร ได้ติดสินบน จำเลยทั้ง 2ราย ที่เป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ และนายหน้าค้าที่ดิน จำนวน 3 งวด โดยตัวแทนอัยการร่วมชี้แจงถึง เช็คที่มีการสั่งจ่ายให้จำเลย โดยเช็คใบแรก ลงวันที่ 6 มี.ค. 60 สั่งจ่ายในนาม บริษัทเรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จากธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา เพชรบุรีตัดใหม่ เลขที่ 043-304-4665 สั่งจ่ายไปถึงนายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช จำเลยในคดี จำนวน 5 ล้านบาท เช็คใบที่สอง เมื่อวันที่ 27ก.ย.60 จากธนาคารกรุงเทพ ในนาม นายสกุลธร จำนวน 5 ล้านบาท ไปถึงจำเลยในคดี และเช็คใบที่สาม สั่งจ่ายในนาม นายสกุลธร จากธนาคารกรุงเทพ เมื่อวันที่ 21ธ.ค.60 จำนวน 10 ล้านบาท ถึงจำเลยในคดี รวมเช็ค 3 ฉบับ เป็นเงิน 20 ล้านบาท
แม้ในการชี้แจงครั้งนี้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ ไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง แต่ส่งหนังสือชี้แจงว่า ปัจจุบันยังไม่ได้พิจารณามีความเห็นทางคดี แต่ก่อนหน้านี้ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ได้ทำหนังสือถึงอัยการ สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 2ราย ว่า มีเจตนานำเงินไปให้แก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำผิดหน้าที่ ช่วยเหลือบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ให้ได้สิทธิเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ โดยไม่ผ่านขั้นตอนตามปกติ จึงเข้าลักษณะเป็นการใช้ให้ผู้ต้องหาทั้งสองไปกระทำความผิด นายสกุลธร จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป ทั้งที่มีหลักฐานปรากฏเป็นเช็คที่ถูกสั่งจ่ายในนามบริษัทเรียลแอสเสทฯ ซึ่งมี นายสกุลธร เป็นประธานฯ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขณะเกิดเหตุก็เป็นกรรมการบริษัทดังกล่าว
"ขอเรียกร้องให้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายต่อ นายสกุลธร และบริษัทเรียล แอสเสทฯ ที่ติดสินบนเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 500 ล้านบาท แต่แบ่งจ่ายก่อน 3 งวด จำนวน 20 ล้านบาท และขอให้เพิ่มผู้ต้องหาในคดี นอกจากนายสกุลธรแล้ว ให้มี บริษัทเรียลแอสเสทฯ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เพราะขณะเกิดเหตุต่างเป็นถือหุ้น และเป็นกรรมการบริษัทดังกล่าวเช่นกัน" นายวัชระ กล่าว