xs
xsm
sm
md
lg

“ธนาธร” อหังการเกินเยียวยา! บิดเบือนวัคซีนเจอรุมฟ้องคดียังด้นไปต่อ **ทะแม่ง !! อัยการบอก คดี “น้องธนาธร” ติดสินบน 20 ล้าน ยังก้ำกึ่ง จงใจฮุบที่ทรัพย์สินฯหรือถูกหลอก ส่วนกองปราบก็ทำสำนวนช้าเป็นเต่า แล้ว “ลุงตู่” ล่ะจะว่าไง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์







ข่าวปนคน คนปนข่าว

** “ธนาธร” อหังการเกินเยียวยา! บิดเบือนวัคซีนเจอรุมฟ้องคดียังด้นไปต่อ

กรณีไลฟ์สดของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ในหัวข้อ “วัคซีนพระราชทาน : ใครได้-ใครเสีย” ซึ่งมีผลตามมาโดย เมื่อวาน (20 ม.ค.) รัฐบาลส่งตัวแทนเข้าแจ้งความ ดำเนินคดีกับ “ธนาธร” โทษฐานที่ว่า บิดเบือนความจริง เป็นการนำข้อมูลเท็จมาเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าใจผิดผ่านคอมพิวเตอร์

ขณะที่ “ธนาธร” ไม่สะทกสะท้าน ตอบกลับด้วยการโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ไม่สนใจใครจะฟ้องคดีอะไร เพราะยิ่งฟ้องยิ่งทำให้ข้อสงสัยตนยิ่งชัดขึ้นอีก พร้อมกับถามรัฐบาลกลับว่า ทำไมถึงออกตัวแทนบริษัทเอกชนขนาดนี้ ยอมรับแล้วหรือไม่ว่า ให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทเอกชนนี้จริงๆ ?
ถ้าอยากจบเรื่องนี้ ก็ต้องชี้แจงด้วยเอกสาร-หลักฐาน ให้กระจ่าง โดยผมขอให้เปิดเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เช่น 1. สัญญาจ้างผลิตระหว่าง AstraZeneca กับ Siam Bioscience ว่า ตกลงแล้วจะรับผลิตกี่โดส ราคาต้นทุนการผลิตของบริษัทเท่าไหร่ ราคาขายให้ AstraZeneca เท่าไหร่ มีรายละเอียดในสัญญาอย่างไรบ้าง
2. สัญญารับงบประมาณระหว่างสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กับ Siam Bioscience ว่า มีรายละเอียดเงื่อนไขอย่างไร มีมูลค่าเท่าไหร่กันแน่ และเอาไปใช้ทำอะไร ตรงตามที่เคยแถลงไว้หรือไม่
3. บันทึกการประชุมของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ และเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการวางเงื่อนไข คุณสมบัติ และรายละเอียดของเอกชนที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐในการผลิตวัคซีน เพื่อให้ประชาชนแน่ใจว่า การเลือกสนับสนุน Siam Bioscience เป็นไปอย่างโปร่งใส ถูกต้องตามหลักการ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ยิ่งเปิดเผยมากยิ่งโปร่งใส
ในส่วนท้ายโพสต์ ดูเหมือน “ธนาธร” จะย้อนแย้งในตัวเอง โดยยอมรับว่า เห็นด้วยทุกประการที่รัฐ หรือเอกชนไทยจะได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตวัคซีน แต่ผมตั้งคำถามถึงกระบวนการคัดเลือกเอกชน การใช้ประเด็นเรื่องวัคซีนมาสร้างความนิยมทางการเมือง และวิธีการบริหารจัดการที่ไม่มีการกระจายความเสี่ยง ทำให้ประชาชนได้รับวัคซีนช้า และครอบคลุมประชากรน้อยกว่าประเทศอื่น ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า หากยึดตามไทม์ไลน์ของรัฐบาล กว่าเราจะกลับทำมาหากินได้ตามปกติไม่ต้องเปิดๆ ปิดๆ แบบนี้ ก็อย่างน้อยปี 2565 ซึ่งประชาชนรอไม่ไหว !
นี่เป็นข้อความจาก “ธนาธร” ที่ยกมาให้อ่านกันดูเต็มๆ จะได้เห็นถึงความพลาดแล้วพลาดอีกแบบกู่ไม่กลับ

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
กู่ไม่กลับอย่างไร ก็ต้องบอกว่า ข้อมูลเรื่องนี้ไม่ได้ลึกลับดำมืดอย่างที่ “ธนาธร” ตอกย้ำ มีข่าว มีบทวิเคราะห์ คำสัมภาษณ์จาก Oxford ผู้คิดค้นวัคซีนฝ่ายอังกฤษเจ้าของแอสตราเซนากา และคนที่เกี่ยวข้องออกมาพูดหลายครั้ง
ย้ำว่า “แอสตราเซเนกา” เลือก “สยามไบโอไซเอนซ์” ไม่ใช่รัฐบาลเลือก รัฐบาลเสนอไปหลายแห่ง แต่ แอสตราเซเนกา เลือกสยามไบโอไซเอนซ์ เพียงแห่งเดียว เพราะมีศักยภาพสูงพอจะผลิตได้ และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเรื่องการผลิตวัคซีน ซึ่งจะเป็นผลประโยชน์ต่อสาธารณะ ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนของบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์
ส่วนภาษีประชาชนที่ก็คือเงินที่รัฐบาลอุดหนุนสยามไบโอไซเอนซ์ ห้าร้อยกว่าล้าน ก็ชัดเจนว่าไม่ได้สูญเปล่า เพราะนำไปพัฒนาศักยภาพในการผลิตให้สูงยิ่งขึ้น รองรับเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตวัคซีนนี้ เงินก้อนนี้ ประชาชนไทยจะได้คืนมาในรูปแบบของวัคซีน ในราคาเท่าทุน
ถ้า “ธนาธร” จะกล่าวหาว่า ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดโควิดครั้งนี้ ถ้าใจไม่อกุศลเกินคน ก็ต้องทราบว่า ตั้งแต่ช่วงโควิด ในหลวงและพระราชินี ทรงบริจาคพระราชทรัพย์เพื่อการแพทย์ไปแล้วหลายพันล้านบาท
สรุปว่า เรื่องนี้เมื่อเป็นคดีความขึ้นมาแล้ว ก็ต้องว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม แทนที่จะตะแบง “ธนาธร” ควรต้องพิสูจน์ตัวเอง แต่นี่ยังไม่ทันไร เครือข่ายของธนาธร ก็ออกมาตีโพยตีพายเบี่ยงเบนประเด็น พากัน “saveธนาธร” ด้วยชุดความคิดว่า “แค่ตั้งคำถามก็ผิด ม.112” โดยพยายามกลบรายละเอียดของเนื้อหาหลักที่ “ธนาธร” ชักแม่น้ำทั้งห้ามาให้คนฟังไลฟ์ และติดตามข่าว เชื่อว่าในการนำกรณีวัคซีนโควิดมาโดยเจตนาแอบแฝงให้ประโยชน์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และหากคนไทยไม่ได้วัคซีน ก็เพราะ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ที่ถือหุ้นโดยทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ผลิตช้า
ตรงนี้ต่างหากที่ฟังยังไงก็ให้ความรู้สึกว่า “ธนาธร” ยุยงให้คนเกลียดชังสถาบันฯ เป็นวาระซ่อนเร้นที่อยู่ในลีลาการนำเสนอเฟซบุ๊กไลฟ์ ที่จับเอาประชาชนภาษี มาใส่ร้ายป้ายสีสถาบันฯ ที่เป็นที่รักและเคารพของสังคมไทย ใครเขาจะทนได้ ยอมรับกันไม่ได้จริงๆ สมควรหรือไม่สมควรที่ถูกแจ้งความ สาธารณชนย่อมคิดวิเคราะห์กันได้
ว่ากันถึงที่สุด “ธนาธร” วันนี้ เกินเยียวยาไปแล้ว!!



**ทะแม่ง !! อัยการบอก คดี “น้องธนาธร” ติดสินบน 20 ล้าน ยังก้ำกึ่ง เป็นการจงใจติดสินบนเพื่อฮุบที่ทรัพย์สินฯหรือถูกหลอก ส่วนกองปราบก็ทำสำนวนช้าเป็นเต่า แล้ว “ลุงตู่” ล่ะจะว่าไง

สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ร้อนทั้งตระกูล...ขณะที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องวัคซีนพระราชทาน แล้วบิดเบือน ก้าวล่วงไปถึงสถาบันฯจนถูกแจ้งความดำเนินคดี ม.112 ไปแล้วนั้น... เรื่องของ “น้องธนาธร” สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ไปติดสินบนเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และนายหน้า เป็นเงิน 20 ล้านบาท เพื่อให้ได้สิทธิเช่าที่ดินทรัพย์สินฯ โดยไม่ผ่านการประมูล ก็ร้อนไม่แพ้กัน
เมื่อ กมธ.กฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี “สิระ เจนจาคะ” เป็นประธาน ได้เรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้อง “สกุลธร” ในเรื่องนี้ ทั้งที่ผู้รับสินบนทั้งสองคนนั้น ถูกอัยการสั่งฟ้อง และศาลได้ตัดสินจำคุก จนขณะนี้ทั้งสองคนได้พ้นโทษไปแล้ว
ตัวแทนจากอัยการ ที่มาชี้แจงในครั้งนี้คือ “วีรพล โมระกรานต์” อัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต และ “ประเสริฐ จรัญรัตนศรี” อัยการผู้เชี่ยวชาญ ส่วนตัวแทนฝ่ายตำรวจ ขอชี้แจงเป็นเอกสาร และ “วัชระ เพชรทอง” อดีต ส.ส.ปชป. ในฐานะผู้ยื่นเรื่องให้มีการตรวจสอบ ก็มาร่วมด้วย
ปมปัญหาที่ กมธ.และสังคมภายนอก ต้องการคำตอบคือเหตุใดคดีนี้จึงมีการดำเนินคดีกับผู้รับสินบน แต่ไม่ดำเนินคดีกับผู้ติดสินบน!!

วีรพล โมระกรานต์-ประเสริฐ จรัญรัตนศรี
“วีรพล” ซึ่งเป็นผู้แทนจากสำนักงานอัยการ ชี้แจงว่า คดีนี้อัยการได้สอบถามไปยังพนักงานสอบสวนที่ทำสำนวนแล้ว ได้รับคำตอบว่า ได้มีการแยกดำเนินคดีในส่วนของ “สกุลธร” ออกมาเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก สำนวนที่ส่งมาจึงไม่ชื่อ “สกุลธร” เป็นผู้ต้องหา อัยการจึงไม่สามารถสั่งฟ้องได้ ขณะนี้อัยการก็ได้แต่รอว่า พนักงานสอบสวน จะส่งสำนวนคดีของ “สกุลธร” มาเมื่อไร จะได้พิจารณาว่า “สกุลธร” ผิดหรือไม่
ขณะที่ “ประเสริฐ” อัยการผู้เชี่ยวชาญ ชี้แจงว่า เหตุที่ “สกุลธร” ในฐานะผู้ให้เงิน แต่ไม่ถูกดำเนินคดีนั้น เป็นเพราะกรณีคนให้เงินนั้น เป็นอีกบริบทหนึ่งว่า เป็นการให้เงินเพื่อให้เจ้าหน้าที่ไปกระทำผิดต่อหน้าที่หรือไม่ ซึ่งจากสำนวนมีพยานให้การว่า การให้เงินของ “สกุลธร” ทำให้คดีไม่ชัดเจนว่าให้โดยรู้อยู่แล้วว่าจะมีการกระทำความผิด... เพราะทั้ง 2 ฝ่ายมีการประสานงานกันอย่างเปิดเผย ไม่ได้ติดต่อกันทางลับ แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯ กลับไม่ได้เปิดเผยชัดเจนว่า เป็นเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินฯ จึงอาจเป็นการหลอกลวงได้... คดีนี้จึงเป็นเรื่องก้ำกึ่งว่า “สกุลธร” รู้เห็นเป็นใจกับกระบวนการทั้งหมด หรือถูกหลอก !!
คำชี้แจงที่ว่านี้ทำเอา “สิระ” ที่เป็นประธาน กมธ. ถึงกับบอกว่า การที่นายหน้าฝ่าย “สกุลธร” อ้างว่า ไม่ทราบกระบวนการขอเช่าที่นั้น “ฟังไม่ขึ้น” เพราะอาชีพนายหน้า ต้องรู้ว่าการจะได้ที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ ต้องผ่านการประมูล... ทำไมอัยการไม่มีเหตุสงสัยในประเด็นนี้ ว่า เข้าข่ายเป็นการช่วยเหลือกันหรือไม่ ไม่เช่นนั้น เท่ากับว่า ใครพูดอะไรก็เชื่อหมด หากเป็นการให้ข้อมูลเท็จ จะเป็นอย่างไร เหมือนต้นน้ำมันสกปรก อัยการซึ่งอยู่กลางน้ำ กลับไม่ทำเรื่องที่มาแบบสกปรกให้มันขาวขึ้น คดีนี้รู้องค์ประกอบทุกอย่าง แต่กลับไม่สอบ...ดังนั้น เชื่อว่ามีความผิดปกติแน่นอน !!

 พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม-วัชระ เพชรทอง
ขณะที่ “วัชระ” เห็นว่า คดีนี้มีคำพิพากษาจากศาลระบุชัดว่า “สกุลธร” ได้ติดสินบน จำเลยทั้ง 2 ราย จ่ายเป็นเช็ค 3 งวด โดยงวดแรก 5 ล้านบาท ในนามบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ที่มี “สกุลธร” เป็นประธาน และมี “ธนาธร-สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” ร่วมเป็นกรรมการ งวดที่สอง 5 ล้านบาท จ่ายเช็คในนามสกุลธร และ งวดที่สาม 10 ล้านบาท จ่ายเช็คในนามสกุลธร รวมเป็นเงิน 20 ล้านบาท
อีกทั้งในสำนวนที่พนักงานสอบสวน ส่งให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ระบุว่า มีเจตนานำเงินไปให้แก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทำผิดหน้าที่ ช่วยเหลือบริษัท เรียลแอสเสทฯ ให้ได้สิทธิเช่าที่ดินทรัพย์สินฯ โดยไม่ผ่านขั้นตอนตามปกติ จึงเข้าลักษณะเป็นการใช้ให้ผู้ต้องหาทั้งสอง ไปกระทำความผิด... “สกุลธร” จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ซึ่งพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป
ประเด็นที่น่าสนใจคือ เมื่อมีหลักฐานปรากฏเป็นเช็คที่สั่งจ่ายในนามบริษัท เรียลแอสเสทฯ ที่ “สกลุธร” เป็นประธาน และมี “สมพร-ธนาธร” ร่วมเป็นกรรมการบริษัทในขณะนั้น ... สองคนหลังนี้จะมีความผิดไปด้วยหรือไม่
ขณะนี้สำนวนคดีในส่วนของ “สกุลธร” อยู่ในความดูแลของ “พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม” ผู้บังคับการปราบปราม ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ 20 เม.ย. 62 แต่ยังสรุปไม่ลง... ทั้งที่มีข้อมูลหลักฐานค่อนข้างชัดเจน คดีไม่ได้มีความซับซ้อน จึงเป็นคำถามที่คาใจสังคม ...และเกรงว่า จะซ้ำรอยคดี “บอส อยู่วิทยา” ที่ตำรวจใช้แม่ไม้ “ยื้อเวลา”
คงต้องกระตุ้น “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ลงมาตรวจสอบว่าติดขัดที่ตรงไหน ...อย่าให้สังคมต้องมองว่า คนในตระกูล “จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่คนหนึ่งจาบจ้วง ล่วงละเมิดสถาบันฯ คนหนึ่งรุกป่า อีกคนหนึ่งใช้วิธีติดสินบน เพื่อหวังฮุบที่ดินทรัพย์สินฯ แต่รัฐบาลจัดการไม่ได้ หรือไม่จัดการอะไรเลย !!




กำลังโหลดความคิดเห็น