xs
xsm
sm
md
lg

แนวรบอาร์กติก...เมื่อหิมะละลาย!!!

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


กองกำลังทหารของรัสเซียในอาร์กติก (ภาพจาก sherstinka)
ด้วยเหตุเพราะดันไปชวนใครต่อใคร...ให้ลองไปสำรวจตรวจสอบ ความเป็นไปของ “แนวรบที่ 1” แถวๆ ยุโรปตะวันออก “แนวรบที่ 2” แถวๆ ตะวันออกกลาง และ “แนวรบที่ 3” แถวๆ ทะเลจีนใต้ มาตั้งแต่เปิดฉาก เปิดผ้าม่านกั้ง ช่วงสัปดาห์นี้ ดังนั้น...วันนี้เลยหนีไม่พ้นคงต้องขออนุญาตชวนต่อ เพื่อให้เกิดความเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ แบบชนิด “มินิซีรีส์” ไปโน่นเลย ด้วยการหยิบเอาเรื่องราวของพื้นที่อาณาบริเวณที่มีความสลักสำคัญมิใช่น้อย จนอาจกลายมาเป็น “แนวรบที่ 4” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้!!!

นั่นก็คือ...อาณาบริเวณพื้นที่แถวๆ ขั้วโลกเหนือ หรือที่เรียกๆ กันว่าแถบ “อาร์กติก” (Arctic) นั่นแหละทั่น ซึ่งว่ากันว่าคำเรียกที่ว่านี้มาจากภาษากรีก คือคำว่า “Artikos” ที่หมายถึงสถานที่อยู่ใกล้ๆ กับหมี อันคงไม่ได้หมายถึง “หมีขาวรัสเซีย” มาตั้งแต่แรก แต่น่าจะหมายถึง “หมีใหญ่” และ “หมีเล็ก” หรือกลุ่มดาว “Usar Major” และ “Minor” อันเป็นกลุ่มดาวที่เป็นตัวช่วยชี้ทางถึง “ดาวเหนือ” ซึ่งมีความสำคัญสำหรับการนำร่อง นำเรือของคนโบร่ำโบราณเขา โดยอาณาบริเวณพื้นที่อันกว้างขวางมหึมาประมาณ 5.4 ล้านตารางไมล์ที่ว่านี้ ถือเป็นพื้นที่ที่รวมเอาบางส่วนของประเทศสำคัญๆ ในแถบซีกโลกเหนือเอาไว้มิใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา รัสเซีย แคนาดา ฟินแลนด์ กรีนแลนด์ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน เป็นต้น...

และเหตุที่อาณาบริเวณดังกล่าว...ชักจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นๆ ก็น่าจะมาจากเงื่อนไข-เหตุปัจจัย แบบเดียวกับชื่อเรื่องนวนิยายของนักเขียนรุ่นโบร่ำโบราณของบ้านเรา คือคุณปู่ “สด กูรมะโรหิต” ผู้วายชนม์ไปนานแล้ว นั่นก็คือ “เมื่อหิมะละลาย” นั่นเอง คือด้วยเหตุเพราะโลกท่านร้อนขึ้นๆ ตามความเป็นไปของ “สภาวะโลกร้อน” นั่นเอง ชนิดที่บรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย เขาเคยทำนายทายทัก เคยประมาณการเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าไม่เกินสิ้นศตวรรษที่ 21 นี่แหละ โอกาสที่แผ่นน้ำแข็ง หิ้งน้ำแข็ง ที่กองระเกะระกะอยู่ในอาณาบริเวณแถบนี้ อาจหายวับไปกับตาในช่วงฤดูร้อนของแต่ละปี ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ และแม้ว่าการละลายของแผ่นน้ำแข็ง หิ้งน้ำแข็งทั้งหลาย อาจก่อให้เกิดความฉิบหายกับบรรดาประเทศในซีกโลกด้านใต้ ประเภทบังกลาเทศ ประเทศเกาะแก่งต่างๆ ในแปซิฟิก ที่อาจถึงขั้นอยู่ไม่ได้เอาเลยก็ไม่แน่ แต่ในอีกด้านหนึ่ง...มันกลับเป็นตัวก่อให้เกิด “ผลประโยชน์” มิใช่น้อย อุบัติขึ้นมาในอาณาบริเวณ “อาร์กติก” จนอาจกลายเป็น “แนวรบที่ 4” ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า...

คืออย่างน้อย...มันก็ได้ก่อให้เกิดช่องทาง หรือเส้นทางเดินเรือ ที่เรียกๆ กันว่า “The north-east route” หรือ “Northern Sea Route” โผล่ขึ้นมาให้เห็นต่อหน้า ต่อตา ชนิดสามารถแล่นเรือจากแถวๆ ขั้วโลกไปถึงเมืองจีนได้แบบสบายๆ อย่างเช่นเรือ “Nunavik” ของแคนาดา ที่เป็นแค่เรือบรรทุกสินค้า ไม่ได้มีเครื่องมือตัดน้ำแข็งใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แต่สามารถขนแร่นิเกิลจำนวนถึง 23,000 ตัน ไปส่งถึงประเทศคุณพี่จีน เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2014 ได้แบบม้วนเดียวจบ สามารถช่วยร่นระยะทางลงไปได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่จำเป็นต้องแล่นผ่านช่องแคบปานามา ประหยัดเชื้อเพลิง ประหยัดเวลาไปได้เยอะ ดังนั้น...ถ้าหากในช่วงฤดูร้อนประมาณ 2 เดือนต่อปี ที่คาดๆ กันว่าเส้นทางที่ว่านี้ จะสามารถเปิดโล่ง เปิดไฟเขียวผ่านได้โดยตลอด โอกาสที่ “ผลประโยชน์” ดังกล่าว จะส่งผลกระทบกระเทือนไปถึงเส้นทางเดินเรือ หรือเส้นทางการค้าสำคัญๆ อย่างคลองปานา หรือคลองสุเอซแถวๆ อียิปต์ ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้อยู่แล้วแน่ๆ และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้คุณพี่จีน ท่านถึงได้คิดต่อสาย โยงใย โครงการ “Belt & Road” ให้ทะลุข้ามฟาก ไปถึงแถบอาร์กติกไปแล้วก่อนหน้านี้...

แต่นอกเหนือไปจากนั้น...ยังมี “ผลประโยชน์” อื่นๆ ตามมาอีกเยอะแยะตาแป๊ะไก๋ไปกว่านั้น เช่น การมีโอกาสง่ายขึ้น ถูกขึ้น หรือทุ่นค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ในการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งแก๊สธรรมชาติ แหล่งน้ำมัน หรือสินแร่มีค่าต่างๆ เช่นทองคำ สังกะสี นิเกิล และแร่เหล็ก ฯลฯ เป็นต้น ที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้แผ่นน้ำแข็งในดินแดนแถบ “อาร์กติก” มานานแสนนาน เฉพาะแก๊ส หรือน้ำมัน หน่วยงานของสหรัฐอเมริกา อย่าง “United States Geological Survey” ถึงกับเคยประมาณการเอาไว้ว่าน่าจะมีปริมาณแก๊สธรรมชาติไม่น้อยกว่า 1,670 ล้านล้านคิวบิกฟุต ส่วนน้ำมัน ไม่น่าจะน้อยกว่า 90,000 ล้านบาร์เรลขึ้นไป และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้บรรดาบรรษัทยักษ์ๆ หรือ “บรรษัทข้ามชาติ” ด้านพลังทั้งหลาย ไม่ว่า “ExxonMobil” “Shell” ไปจนถึง “Rosneft” ฯลฯ ถึงได้เดินพาเหรดเข้าไปยังภูมิภาคแถบอาร์กติกกันไปเป็นสายๆ...

แต่ก็นั่นแหละ...ด้วย “ผลประโยชน์” นี่เอง มันเลยเริ่มก่อให้เกิดการกระทบกระทั่ง ระหว่างบรรดาประเทศแต่ละประเทศในอาณาบริเวณดังกล่าว ไม่ต่างอะไรไปจากการกระทบกระทั่งกันในทะเลจีนตะวันออก หรือทะเลจีนใต้ เพื่อแย่งเกาะแก่งปะการัง หรือสถานที่ที่เคยเป็นเพียงพื้นที่ตกปลา ตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณนั่นแหละ ไม่ว่าเกาะสแปรตลีย์ พาราเซล หรือเซนกากุ ฯลฯ ระหว่างจีน เวียดนาม ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฯลฯ อะไรประมาณนั้น แม้ว่าบรรดา “พี่เบิ้ม 5 ประเทศ” ในแถบนี้ คืออเมริกา รัสเซีย แคนาดา นอร์เวย์ และเดนมาร์ก ได้ร่วมกันจัดตั้ง “สภาอาร์กติก” (Arctic Council) แล้วดึงเอาประเทศต่างๆ เข้ามาเป็นสมาชิกถาวรเพิ่มเติม เช่น ไอซ์แลนด์ ฟินแลนด์ และสวีเดน เป็นต้น แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะขนาดแถบเอเชียบ้านเรา หรือแถบทะเลจีนใต้ ต่างฝ่ายต่างก็ยังคงไล่ฟัด ไล่งับ หาที่จอด ที่ลง ยังไม่เจอจนตราบเท่าทุกวันนี้...

และอาจจะด้วยเหตุนี้ หรือไม่ อย่างไร ก็ยังมิอาจสรุปได้...เลยทำให้ผู้ที่ไม่ใช่แค่อยู่ใกล้หมี แต่ถือเป็น “หมีขาว” ตัวจริง เสียงจริง อย่างคุณน้ารัสเซีย ท่านเลยหันมาให้ความสำคัญกับภูมิภาคนี้เอามากๆ การวางกำลังทหารของรัสเซียในอาณาบริเวณแถบนี้จึงออกจะเอาจริง-เอาจังแบบสุดๆ มีทั้งรถถัง เครื่องบินโจมตี เรือรบ ขนกันมาเพียบ เฉพาะที่เกาะ “Novosibirsk” นอกจากจะถูกปรับแต่งให้กลายเป็นกองบัญชาการภาคพื้นดินทางอากาศ บรรดาทหารรัสเซียต่างลาดตระเวนกันด้วย Snowmobiles หรือ Hovercraft เรือตัดน้ำแข็ง หรือ “Icebreakers” ของรัสเซีย มีอยู่ด้วยกันไม่น้อยกว่า 32 ลำ แถมบางลำขับเคลื่อนด้วยพลังนิวเคลียร์อีกต่างหาก ขณะที่คุณพ่ออเมริกามีอยู่แค่ 8 ลำ และที่ออกใช้งานอยู่เป็นประจำแค่ลำเดียวเท่านั้นเอง คือเรือ “USS Polar Star” ขณะที่แคนาดามีอยู่ 6 ลำ ฟินแลนด์ 8 ลำ สวีเดน 7 เดนมาร์ก 4 ฯลฯ ชนิดอาจถือเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า ถ้าหากอาณาบริเวณแถบนี้กลายเป็น “แนวรบที่ 4” ขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสเสร็จ “หมีขาวรัสเซีย” ย่อมเป็นไปได้สูงเอามากๆ...

แต่ก็นั่นแหละ...อย่างที่ผู้ซึ่งนำเอาเรื่องราวเหล่านี้มาเปิดเผย ให้เป็นที่น่าคิดสะกิดใจ นั่นคือนักหนังสือพิมพ์ชาวอังกฤษ “นายTim Marshall” ที่ได้ถ่ายทอดรายละเอียดต่างๆ ไว้ในหนังสือเรื่อง “Prisoners of Geography” โดยชี้ให้เห็นว่า พื้นที่ในอาณาบริเวณด้านนี้ มันไม่ควรถูกทำให้กลายเป็น “แนวรบ” สำหรับใครต่อใคร แต่ควรนำไปสู่ “ความร่วมมือ-ร่วมใจ” ในอันที่จะนำมาซึ่งการช่วยกันพิทักษ์ปกป้องสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ฯลฯ อันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อโลกทั้งโลกและต่อมวลมนุษยชาติเป็นอย่างยิ่ง แต่จะมีโอกาสเป็นจริง เป็นจัง ขึ้นมาได้หรือไม่นั้น สุดท้าย...คงไม่ได้ต่างอะไรไปจาก “แนวรบ” ด้านอื่นๆ นั่นแหละท่าน คือถ้า “ผลประโยชน์” ในลักษณะต่างๆ มันไม่ได้ทำให้ประเทศใด ประเทศหนึ่ง เกิด “ความโลภ” ที่แม้จะเรียกขานให้ไพเราะเพราะพริ้ง ว่า “ผลประโยชน์แห่งชาติ” ก็ตามที โอกาสที่ “สันติภาพที่เป็นจริง” หรือ “สันติภาพถาวร” มันถึงจะเป็นไปได้ตามนั้น แต่ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างยังขึ้นกับ “ตัวกู-ของกู” หรือ “ชาติกู” เป็นสำคัญ แนวโน้มจะเกิด “แนวรบที่ 4” ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า ไม่ใกล้-ไม่ไกล นับจากนี้...ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น