ปิดท้ายสัปดาห์นี้...ด้วยเรื่องที่อาจ “เบาๆ” อยู่บ้าง แต่คงไม่ถึงกับ “สบายๆ” มากมายสักเท่าไหร่ เผลอๆ อาจน่าเกลียด น่ากลัว น่าสยดสยองพองขนอยู่พอสมควร นั่นก็คือเรื่องการออกฤทธิ์ ออกเดช ของท่านเชื้อไวรัส “COVID-19” กันอีกนั่นแหละทั่น เพราะเผอิญช่วงระยะนี้ เดือนนี้ ต้องถือเป็น “ช่วงเทศกาล” ที่เคยสร้างความสดใส ชื่นมื่น ให้กับใครต่อใครมาโดยตลอด ตั้งแต่จังหวะ “คริสต์มาส” ไปจนถึง “ฉลองปีใหม่” โน่นเลย แต่สำหรับปีนี้คงจะ “โจงกระเบน-โจงกระเบน” หรือ “แฮปปี้นิวเยียร์” ไม่น่าจะถนัดสักเท่าไหร่ อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่ไม่เพียงแต่ยังไม่ได้หมดไป ยังทำท่าว่าพร้อมจะเอาเรื่อง-เอาราว พร้อมจะ “ระบาดระลอก 3” แม้จะมีวัคซีนกี่หลอด กี่สัญชาติ ก็แล้วแต่...
อย่างในประเทศผู้ดีอังกฤษ ต้องเรียกว่า...เล่นเอา “บวดหัว” กันไปมิใช่น้อย สำหรับผู้บริหาร จัดการ บ้านเมือง ไม่ว่าทั้งอังกฤษ สกอต เวลส์ ไปจนถึงไอร์แลนด์เหนือ คือระหว่างทำท่าว่าคิดจะคลายล็อก หรือผ่อนๆ ปรนๆ พอให้บรรดาพวกผู้ดีได้มีโอกาสแช่มๆ ชื่นๆ ชื่นมื่น ขึ้นมามั่ง ในช่วงระหว่างเทศกาลคริสต์มาส หรือปีใหม่ก็แล้วแต่ แต่ก็เล่นเอาถูกตำหนิติเตียน ถูกวารสารทางการแพทย์ ไม่ว่า “British Medical Journal” หรือ “Health Service Journal” ออกมาประณาม ขึ้นบทบรรณาธิการเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกแผนการที่จะผ่อนๆ คลายๆ การรับมือกับเชื้อไวรัสในช่วงระยะนี้โดยพลัน ไม่งั้นโอกาสฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย หรือตาย...กับ...ตาย หลังจากที่ติดเชื้อไปแล้ว ตายไปแล้ว กันเป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้านๆ คน ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
ส่งผลให้รัฐมนตรีบางราย ที่เห็นด้วยกับความพยายาม “คุมเข้ม” ในเรื่องการแพร่ระบาดระลอก 3 ซึ่งกำลังปรากฏให้เห็นชัดเจนในสังคมอังกฤษ เช่น “นายSteve Barclay” ต้องออกมาเตือนบรรดาชาวเมืองผู้ดีทั้งหลาย ว่าการคิดจะกลับไปเยี่ยมบ้านไปสังสรรรค์ เสวนา กับครอบครัว กับคุณปู่ คุณตา คุณยาย ฯลฯ แบบเดิมๆ นั้น อาจกลายเป็นการ “ก่ออาชญากรรม” โดยตัวเองก็ไม่รู้ตัว หรือเป็น “แนวคิดที่น่ากลัว” เอามากๆ จนต้องออกมาเรียกร้องให้ยกเลิก หรือให้เลี่ยงๆ ความคิดที่จะกลับบ้าน-กลับช่องไปฉลองคริสต์มาสกับครอบครัว ให้อยู่ในระดับที่พอจะ “โจงกระเบน-โจงกระเบน” กันภายในวงเล็กๆ หรือในท้องถิ่นของตัวเอง อย่าถึงกับคิดจะข้ามเขต ข้ามพื้นที่ อันจะกลายเป็นการสร้างอันตรายให้กับผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว...
ไม่ต่างอะไรไปจากประเทศอิตาลี ที่คนติดเชื้อไปแล้วถึง 1,855,742 ราย เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึงไปถึง 65,011 ราย และช่วงหลังๆ นี้จำนวนผู้ติดเชื้อชักแซงหน้าประเทศอังกฤษไปบ้างแล้ว คือติดเชื้อถึง 17,938 ราย ภายในเวลา 24 ชั่วโมง ความจำเป็นที่จะต้อง “คุมเข้ม” ในระหว่างช่วงการเฉลิมฉลองเทศกาล จึงเป็นสิ่งที่มิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ ชนิดที่นายกรัฐมนตรี “Giuseppe Conte” ต้องออกมาประกาศไปเมื่อช่วงวันอังคาร (15 ธ.ค.) ที่ผ่านมาว่ารัฐบาลอิตาลีจำต้องงัดเอามาตรการควบคุมในระหว่างช่วงวันหยุดเทศกาล หรือระหว่างวันที่ 21 ธ.ค.ไปจนถึง 6 ม.ค.ปีหน้าออกมาใช้ คืออาจต้องห้ามบรรดาชาวอิตาเลียนทั้งหลาย ไม่ให้ข้ามเขต ข้ามพื้นที่ ไม่ว่าเพื่อกลับไปฉลองคริสต์มาส หรือฉลองปีใหม่ก็แล้วแต่ ด้วยเหตุเพราะ “รายจ่ายที่จะเกิดจากการระบาดระลอก 3” นั้น ออกจะเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว เอามากๆ...
ส่วนในประเทศที่ผู้คนออกจะชอบสนุกสนาน รื่นเริง บันเทิง อย่างเป็นพิเศษ เช่น ฝรั่งเศส ก็ต้องหันมาเปลี่ยนมาตรการควบคุมจากที่เคย “ล็อกดาวน์” กันทั้งประเทศ กลายเป็นการประกาศ “เคอร์ฟิว” กันแทนที่ คือห้ามบรรดาชาวฝรั่งเศสออกจากบ้านตั้งแต่เวลา 2 ทุ่ม หรือ 20.00 น.ไปยันถึง 6 โมงเช้า และแม้จะฉลองคริสต์มาสอยู่ภายในบ้านตัวเอง ก็ขออย่าให้นุงนัง นัวเนีย จนเกินไป หรืออย่าให้ร่วมฉลองกันเกิน 6 คนขึ้นไป เพราะแม้จะขนวัคซง วัคซีน เอามาใช้อย่างเป็นระบบและเป็นทางการไปแล้วก็ตาม แต่จำนวนผู้ติดเชื้อในฝรั่งเศสทุกวันนี้ ยังปาเข้าไปถึงวันละ 11,532 คน หรือยังคงติดเชื้อเป็นอันดับ 5 ของโลก ไม่ได้ถึงกับปลอดโปร่ง โล่งใจ กันได้ง่ายๆ...
ส่วนประเทศที่ครองแชมป์ตำแหน่ง “จ้าวโรค” อย่างคุณพ่ออเมริกาก็แทบไม่ต้องเสียเวลาพูดถึง ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อนับเป็นสิบๆ ล้าน ตายไปแล้วนับเป็นแสนๆ แต่ความน่าเกลียด น่ากลัว ของเชื้อไวรัส “COVID-19” ก็น่าจะยังคงตามหลอกตามหลอนบรรดาอเมริกันชนไปอีกนาน หรืออย่างที่ “นายบิล เกตส์” ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ และผู้สนับสนุนการวิจัยทางการแพทย์ให้กับสถาบัน “IHME” (Institute for Health Metrics Evalution) ต้องออกมาส่งเสียงเตือนเอาไว้ก่อนล่วงหน้า เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมานั่นแหละว่า ความร้ายแรงของเชื้อ “COVID-19” จะคุกคามบรรดาอเมริกันชนแบบชนิดสุดๆ ไปจนตลอด 4-6 เดือนข้างหน้าโดยเฉพาะถ้าหากปราศจากมาตการ “คุมเข้ม” ในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองต่างๆ หรืออาจทำให้ตัวเลขคนตายเพิ่มขึ้นไปอีกในช่วงต้นปีหน้า ไม่น้อยไปกว่า 200,000 คน หลังจากที่เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้วกว่า 300,000 คน จากการแพร่ระบาดในช่วงที่ผ่านมา...
นี่...เจอกับสีสันบรรยากาศทำนองนี้ ต้องเรียกว่าเล่นเอา “โจงกะเบน-โจงกะเบน”กันแทบไม่ออก และก็ไม่ใช่แต่เฉพาะพวกฝรั่งมังค่า แต่เพียงเท่านั้น ในแถบเอเชียบ้านเรา อย่างประเทศเกาหลีใต้ แค่ “การ์ดตก” ลงไปเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ก็แทบต้องหายใจทางปาก ทางเหงือก กันไปซะแทนที่ คือจากจำนวนผู้ติดเชื้อเฉลี่ยวันละประมาณ 50 รายในเกาหลีใต้ แต่พอเผลอแค่นิดเดียว แวบเดียว ตัวเลขล่าสุดของผู้ติดเชื้อที่พุ่งพรวดๆ พราดๆขึ้นมาถึงวันละ 1,078 ราย เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา เล่นเอาบรรดาชาวเกาหลีใต้แทบต้องทิ้ง “กิมจิ” กันไปเป็นชามๆ โดยเฉพาะในเมืองหลวงอย่างกรุงโซล ที่เหลือเตียงพยาบาลรองรับผู้ป่วยอยู่เพียงแค่ 3 เตียงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าจะคริสต์มาส หรือปีใหม่ ก็แล้วแต่ รัฐบาลเกาหลีใต้เลยหนีไม่พ้นที่จะต้องเตรียมงัดเอามาตรการ “ล็อกดาวน์ทั่วประเทศ” กลับมาใช้อีกครั้ง...
ส่วนประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลายนั้น...อันนี้เลยต้องถือเป็น “โชคดี” ที่บรรดาเด็กๆ เขาตัดสินใจเลิกม็อบ เลิกชุมนุม กันไปจนกว่าจะสิ้นปี หันไปเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นค้อน เป็นเคียว เถียงกันไป-เถียงกันมาไปพลางๆ แต่ก็นั่นแหละถึงแม้จะไม่ม็อบ ไม่เกาะกลุ่ม รวมตัวกันเป็นพันๆ หมื่นๆ แต่การรวมตัวกันฉลองคริสต์มาส ฉลองปีใหม่ เกาะกลุ่มกันเคาท์ดาวน์ หรือเคาท์ลาว ไปตามสภาพ ก็ยังเป็นอะไรที่น่าห่วง น่ากังวลอยู่บ้างตามสมควร เพราะการติดเชื้อจากประเทศเพื่อนบ้าน บ้านใกล้เรือนเคียง แล้วอาศัย “ช่องทางธรรมชาติ” หลบเข้ามาแพร่เชื้อผ่านการเฉลิมฉลองกันในวงเล็ก วงน้อย ก็ยังเป็นอะไรที่ยากจะควบคุมปกป้องกันได้ง่ายๆ ดังนั้น...คงต้องขึ้นอยู่กับทัศนวิสัยในการมองโลก และมองความเป็นไปของเชื้อโรค ด้วยตัวของตัวเองนั่นแหละ ว่าจะเป็นไปในรูปไหน แบบไหน...
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ความน่าเกลียด น่ากลัว ที่แท้จริง...เพราะสิ่งที่จะตามมาหลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ นั่นก็คือ “ผลกระทบ” ทางการเมืองและเศรษฐกิจ ที่ว่ากันว่า...เผลอๆ อาจจะหนักซะยิ่งกว่า “ตัวเชื้อโรค” เองเอาเลยก็ไม่แน่!!! หรืออาจถึงขั้นก่อให้เกิด “หายนะครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งมวลมนุษยชาติ” ตามที่ผู้อำนวยการ “WFP” “นายDavid Beasley” ได้ป่าวประกาศเอาไว้ที่สหประชาชาติ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หรือไม่ อย่างไร อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องเตรียมรับมือเอาไว้ให้ดี โดยเฉพาะในช่วงปีหน้า ฟ้าใหม่ ที่บรรดาพวกเด็กๆ เขาจะได้เวลาออกมาแฟลชม็อบ หรือแฟลชแดนซ์ กันอีกที...