ออสเตรเลียกำลังประสบปัญหาหนักด้านการค้ากับจีน หลังจากทำตัวเป็นสาวกผู้ภักดีต่อสหรัฐอเมริกา เริ่มต้นจากการเล่นงานจีนกรณีการระบาดของโคโรนาไวรัส ผู้นำแดนจิงโจ้เรียกร้องให้ประชาคมโลกสอบสวนจีน และให้รัฐบาลจีนต้องรับผิดชอบต่อความเสียหาย
พญามังกรจึงเป็นเดือดเป็นแค้น ที่ออสเตรเลียเดินตามก้นสหรัฐฯ จึงประกาศมาตรการกำแพงภาษีและลดการนำเข้าสินค้าจากออสเตรเลียหลายประเภท
ล่าสุดกรณีพิพาทระหว่างจีนกับออสเตรเลียถูกยกระดับอีกขั้นหนึ่ง เมื่อผู้นำด้านการค้าของแดนจิงโจ้ประกาศจะไปฟ้ององค์การการค้าโลก หลังจากจีนได้ขึ้นค่าธรรมเนียมพิเศษหรือเซอร์ชาร์จ 80 เปอร์เซ็นต์สำหรับข้าวบาร์เลย์นำเข้าจากออสเตรเลีย
ขณะเดียวกันฝ่ายจีนก็ประกาศควบคุมเข้มข้นการนำเข้าถ่านหินชนิดให้พลังงานความร้อนสูงออสเตรเลีย ขณะที่เปิดรับถ่านหินนำเข้าจากประเทศอื่นๆ ตลาดจีนรับถ่านหินมากถึง 1 ใน 3 ของออสเตรเลียในปี 2018 และการรับซื้อเริ่มลดลงนับจากนั้น
มาตรการด้านการค้าที่จีนใช้เล่นงานออสเตรเลียกำลังส่งผลกระทบอย่างมหาศาลด้านรายได้ซึ่งดินแดนจิงโจ้ส่งสินค้าไปขายให้จีน ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของออสเตรเลียนับตั้งแต่จีนนำเข้าสินค้าเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดช่วง 40 ปีที่ผ่านมา
มูลค่าการส่งออกข้าวบาร์เลย์ของออสเตรเลียไปยังจีนมีประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นตลาดขนาดใหญ่ เมื่อถูกมาตรการค่าธรรมเนียมพิเศษทำให้เกษตรกรออสเตรเลียมีปัญหาในการระบายสินค้าสู่ตลาดอื่น
การดำเนินนโยบายการต่างประเทศและการค้าผิดพลาด จึงเป็นบทเรียนราคาแพงยิ่งสำหรับออสเตรเลีย และมอร์ริสันไม่ได้รับความนิยมมากนัก นับตั้งแต่ปัญหาโควิด-19
การนำคำร้องไปสู่การค้าโลกสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์อันเลวร้ายระหว่าง 2 ประเทศนับตั้งแต่จีนใช้มาตรการเข้มปราบปรามขบวนนักศึกษาช่วงวิกฤตเทียนอันเหมิน
ก่อนหน้านี้ออสเตรเลียทำตัวเป็นคอหอยกับลูกกระเดือกของสหรัฐฯ เมื่อเรียกร้องต่อประชาคมโลกให้จีนแสดงความรับผิดชอบของการระบาดของโคโรนาไวรัส
ข้อเรียกร้องของออสเตรเลียเช่นนั้นเปรียบเสมือนกระสุนนัดแรกที่ลั่นใส่ประเทศจีน และได้นำไปสู่มาตรการตั้งกำแพงภาษีและควบคุมการนำเข้าของสินค้าหลายชนิดของออสเตรเลีย ซึ่งทำตัวเป็นที่น่าหมั่นไส้ของรัฐบาลจีน
ที่ผ่านมามีกิจการผลิตสินค้า 13 ประเภทในออสเตรเลีย ซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการนำเข้าของจีน นั่นคือข้าวบาร์เลย์ เนื้อวัว ถ่านหิน ทองแดง ฝ้าย ล็อบสเตอร์ น้ำตาล ไม้ซุง มหาวิทยาลัย ไวน์ ข้าวสาลี และขนแกะ
มหาวิทยาลัยออสเตรเลียบางแห่งอาจล้มละลายเพราะไม่มีนักศึกษาจากจีนกลับไป ซึ่งมีประมาณ 3 แสนคน สร้างรายได้มหาศาลในแต่ละปี
นับเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสสำหรับออสเตรเลียที่ต้องสูญเสียรายได้อย่างมหาศาลโดยรวมจากข้อพิพาทกับจีน และการยอมเป็นสมุนของสหรัฐอเมริกาในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำทำเนียบขาว และประกาศมาตรการคว่ำบาตรกับสินค้าและคนจีน
นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย นายสกอตต์ มอร์ริสัน เดินตามก้นโดนัลด์ ทรัมป์โดยตลอด จึงต้องรับผลพวงในราคาแพง จากผลของการคว่ำบาตรสินค้าโดยจีน
ก่อนหน้านี้รัฐบาลออสเตรเลียก็กล่าวหากระทรวงการต่างประเทศของจีนว่าได้เผยแพร่ภาพอันเป็นเท็จ ซึ่งแสดงให้เห็นทหารหน่วยรบพิเศษออสเตรเลียถือมีดจ่อคอหอยของเด็กชาวอัฟกานิสถาน สร้างความเดือดแค้นให้ผู้นำออสเตรเลียเป็นอย่างมาก
รัฐบาลออสเตรเลียได้เรียกร้องให้รัฐบาลจีนกล่าวคำขอขมา แต่ฝ่ายจีนปฏิเสธแถมยังตอกหน้าออสเตรเลียว่า การเข่นฆ่าชาวอัฟกานิสถานโดยหน่วยรบพิเศษออสเตรเลียเป็นเรื่องจริง และกำลังถูกสอบสวนโดยกระทรวงกลาโหมของออสเตรเลียด้วย
ผลกระทบหนักที่สุดคือการคุมการนำเข้าถ่านหิน ของออสเตรเลียซึ่งตัวเลขมูลค่าสูงถึง 10.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปี 2018-2019 และนายมอร์ริสัน แถลงว่าโดยเฉลี่ยแล้วออสเตรเลียขายถ่านหินให้จีนแต่ละปีเป็นมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
รัฐมนตรีกระทรวงการค้าของออสเตรเลียนายไซมอน เบอร์มิงแฮม แถลงในวันพุธว่าออสเตรเลียรู้สึกกังวลอย่างมากกับมาตรการกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะการห้ามนำเข้าถ่านหินซึ่งถือว่าเป็นมาตรการกีดกัน ไม่เป็นธรรมในการค้าระหว่างประเทศ
นายกฯ ออสเตรเลียบอกว่ากำลังจะขอความกระจ่างจากรัฐบาลจีนเรื่องมาตรการควบคุมการนำเข้าถ่านหิน และมีข่าวว่าถ่านหินมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐยังอยู่ในเรือนอกฝั่งจีน รอการเข้าจอดและขนถ่าย และยังไม่มีการยืนยันว่าจะให้เข้าจอดหรือไม่
ผลกระทบทันควัน ก็คือราคาหุ้นของบริษัทถ่านหินในออสเตรเลียเริ่มตกเพราะตลาดจีนถือว่าเป็นขนาดใหญ่สำหรับถ่านหินของแดนจิงโจ้ แม้ญี่ปุ่นจะเป็นตลาดใหญ่กว่า ผู้ส่งออกถ่านหินเริ่มมองหาตลาดอื่นๆ เช่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม
สินค้าประเภทแร่ธาตุชนิดอื่นของออสเตรเลียเช่นแร่หินและถ่านหินสำหรับเป็นถ่านโค้กยังไม่ถูกแบนโดยประเทศจีน และยังเป็นสินค้าจำเป็นที่จีนต้องนำเข้าต่อเนื่องในช่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากการแก้ปัญหาการระบาดของโคโรนาไวรัสในจีน
สถานการณ์ด้านความสัมพันธ์โดยรวมระหว่างสองประเทศคงยากที่จะกระเตื้องขึ้นโดยเร็ววัน ตราบใดที่ผู้นำออสเตรเลียยังเดินตามหลังสหรัฐอเมริกา และกรณีนี้จีนถูกมองว่าถือแต้มต่อเพราะออสเตรเลียอยู่ห่างไกลจากตลาดอื่นๆ สำหรับการขายสินค้าหลัก