เอเจนซีส์ - ล่าสุดรัฐบาลฮ่องกงออกคำสั่งแบน 4 สายการบินห้ามเข้าเมืองชั่วคราว ได้แก่ สายการบิน บริติช แอร์เวย์ส สายการบินเอมิเรตส์ สายการบินดัตช์ KLM และสายการบินเนปาล แอร์ไลน์ส หลังพบจำนวนผู้โดยสารมีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวกเป็นบวกจำนวนมากในเที่ยวบินขาเข้าเมื่อไม่นานมานี้ ด้านผู้ว่าการเกาะฮ่องกงครวญเจอวิชามารป้ายสีงบจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ของฮ่องกงจากจีนแผ่นดินใหญ่ อ้างอิงแอบการเมือง
เอ็กเซ็กคิวทีฟ เทรเวลเลอร์ สื่อด้านการท่องเที่ยวรายงานเมื่อวานนี้ (14 ธ.ค.) ว่า คำสั่งแบนสายการบินต่างชาติ 4 สายการบิน ได้แก่ สายการบิน บริติช แอร์เวย์ส สายการบินเอมิเรตส์ สายการบินดัตช์ KLM และสายการบินเนปาล แอร์ไลน์สนั้นจะมีกำหนดระยะเวลา 14 วัน หากว่ามีผู้โดยสารบนเครื่องแค่เพียงคนเดียวมีผลการตรวจโควิด-19 เป็นบวก สายการบินนั้นจะถูกสั่งลงโทษด้วยการสั่งห้ามเข้านาน 14 วันหากว่าผู้โดยสารคนอื่นๆ ไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19บนเครื่อง
ทั้งนี้ พบว่าเที่ยวบิน BA27 ของสายการบินบริติช แอร์เวย์ส เมื่อวันอังคารที่ 8 ธ.ค มีผู้โดยสารบนเครื่องถึง 4 คนตรวจพบเชื้อโควิด-19 ส่งผลทำให้แผนกสาธารณสุขฮ่องกงกล่าวว่า ได้ทำการเริ่มการใช้มาตรการสั่งห้ามนำเครื่องบินผู้โดยสารจากกรุงลอนดอนของบริษัทสายการบินบริติช แอร์เวย์สลงจอดที่ฮ่องกงตั้งแต่วันที่ 12-25 ธ.ค
ด้านสายการบินสัญชาติอังกฤษ กล่าวแสดงความผิดหวังผ่านทางแถลงการณ์ว่า “ทางเรารู้สึกผิดหวังที่ได้รับคำสั่งโดยเจ้าหน้าที่ฮ่องกงให้ยุติการบินเชิงพาณิชย์ชั่วคราวระหว่างกรุงลอนดอนและฮ่องกง และได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับทางเจ้าหน้าที่เพื่อให้การบริการกลับมาอีกครั้ง”
แต่อย่างไรก็ตาม ทางบริติช แอร์เวย์ส กล่าวว่า สำหรับการบริการเส้นทางระหว่างฮ่องกงและกรุงลอนดอนทางสายการบินยังเปิดให้บริการตามปกติเช่นเดิม
สื่อการท่องเที่ยวชี้ว่า นอกจากสายการบินเอมิเรตส์ สายการบินดัตช์ KLM และสายการบินเนปาล แอร์ไลน์ส ที่โดนออกคำสั่งห้ามลงจอดเหมือนเช่นกันกับบริติช แอร์เวย์ส พบว่าสายการบินแอร์ อินเดีย ถูกสั่งแบนมาแล้วถึง 5 ครั้ง
สำหรับสายการบินเอมิเรตส์พบว่ามีถึง 2 เที่ยวออกจากดูไบผ่านทางกรุงเทพฯ เพื่อไปยังฮ่องกงในวันที่ 2 ธ.ค และวันที่ 3 ธ.ค. พบว่ามีผู้โดยสารไม่ต่ำกว่า 1 คนบนเครื่องมีโควิด-19
ด้านผู้ว่าการเกาะฮ่องกง แครี ลัม ในวันอังคาร (15) ออกมาประณามเสียงลือมุ่งร้ายต่องบการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 จีนของเธอที่กล่าวหาว่า เป็นการจัดซื้อโดยมีจุดมุ่งหมายทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง
หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่า มอร์นิงโพสต์ รายงานว่า หล่ำชี้ว่าเธอจะร้องขอให้ทางสภานิติบัญญัติฮ่องกงอนุมัติให้ทันก่อนวันคริสต์มาสที่จะถึงสำหรับงบแพกเกจเยียวยาโควิด-19 รอบที่ 4
โดยในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ ผู้ว่าการหญิงปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงสาเหตุการเลื่อนการเดินทางประจำปีไปยังปักกิ่งว่าเกี่ยวข้องกับการที่ฮ่องกงประสบปัญหากับการระบาดหรือเนื่องมาจากเหตุผลด้านตารางการทำงานที่เต็มแน่นเอียด
สำหรับแพกเกจเยียวยาที่กำลังจะผ่านแหล่งข่าวใกล้ชิดเปิดเผยว่า จะมีมูลค่าใกล้กับของรอบที่ 3 อยู่ที่ราว 24 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือราว 3.1 พันล้านดอลลาร์ และจะให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมที่ฮ่องกงออกเพื่อการควบคุมการระบาด
ในการแถลงข่าว ลัม ยังกล่าวไปถึงการแจกวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนฮ่องกง โดยชี้ว่าการจัดซื้อเกิดมาจากสาเหตุตามหลักฐานทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญ และทางรัฐบาลมีจุดมุ่งหมายต้องการแจกวัคซีนที่ปลอดภัยให้กับประชาชนชาวฮ่องกงทุกคนโดยเร็วที่สุด
และเธอยังกล่าวไปถึงข่าวลือที่เกิดขึ้นมาในช่วงสุดสัปดาห์หลังการประกาศข่าววันศุกร์ (11) ในข้อตกลงที่จะได้มาซึ่งวัคซีนจีนจากบริษัท ไซโนแวค ไบโอเทค (Sinovac Biotech) จำนวน 7.5 ล้านโดส โดยข่าวลือชี้ว่าเป็นงบจัดซื้อเพื่อเป้าประสงค์ทางการเมืองสำหรับผลประโยชน์ของจีนแผ่นดินใหญหรือกลุ่มธุรกิจจีน
ลัมกล่าวว่า ทางรัฐบาลฮ่องกงทำการตัดสินใจหลังหารือกับผู้เชี่ยวชาญแล้ว
โดยในแถลงการณ์ที่ออกมาในช่วงข้ามคืนที่ผ่านมาของรัฐบาลฮ่องกงเกี่ยวกับการจัดซื้อวัคซีนระบุว่า รัฐบาลฮ่องกงทำการตัดสินใจในการจัดซื้อวัคซีนตั้งอยู่บนเหตุผลด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ รวมไปถึงการพิจารณาด้านคุณภาพและจำนวน และไม่มีปัจจัยทางการเมืองเกี่ยวข้อง
หนังสือพิมพ์ฮ่องกงรายงานว่า วัคซีนไฟเซอร์จำนวน 1 ล้านโดสจะถูกแจกจ่ายในไตรมาสแรกของปีหน้าผ่านทางซัปพลายเออร์จีนแผ่นดินใหญ่ โฟซัน ฟาร์มา (Fosun Pharma) และพบว่าฮ่องกงยังมีการทำสัญญาสั่งซื้อวัคซีนแอสตราเซเนกาอีก 7.5 ล้านโดส
แหล่งข่าววงในกล่าวให้ข้อมูลถึงการที่ต้องเลือกวัคซีนไซโนแวคของฮ่องกงว่า เกิดจากมาจากการผลักดันของกลุ่มเอสแทบลิชเมนต์สนับสนุนปักกิ่ง ซึ่งหากทางลัมไม่ยอมเลือกใช้วัคซีนผลิตจากจีนอาจส่งผลร้ายกระทบต่อรัฐบาลได้