ถึงยังไม่ยอมรับ “ความพ่ายแพ้” หรือยังคงยืนหยัด ยืนกราน ถึงการ “โกงเลือกตั้ง-ขโมยเลือกตั้ง” อีกต่อไป...แต่การยอมเปิดช่อง เปิดทาง ให้กับการ “ถ่ายโอนอำนาจ” จากรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ไปสู่รัฐบาล “โจวิตถาร” หรือ “โจซึมเซา” ตามครรลองประชาธิปไตยแบบอเมริกา โดยไม่ถึงกับต้อง “สิริยากร พุกกะเวส” หรือต้อง “อุ้ม” ประธานาธิบดีรายเก่าออกจากทำเนียบขาว เพื่อเปิดทางให้กับประธานาธิบดีรายใหม่นั้น ก็ต้องถือว่า...ยุคของ “ทรัมป์บ้า” คงใกล้สิ้นสุดลงไปในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล และนับจากนี้...คงต้องหันไปจับตาความเป็นไปของรัฐบาลใหม่ หรือคณะผู้บริหารชุดใหม่ ภายใต้การนำของ “โจซึมเซา” อย่างเป็นเรื่อง เป็นราว เป็นระบบและกิจการกันซะที...
ซึ่งถ้าว่ากันตาม “ข่าวล่า-มาเรือ” ก็เริ่มมีการแพลมๆ รายชื่อของบรรดาตัวเต็ง หรือตัวเกร็ง ที่จะมานั่งเก้าอี้โน้น เก้าอี้นี้ ของรัฐบาล “โจซึมเซา” กันไปมั่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็น “นายAntony Blinken” ที่อาจมารับบทเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นายAlejandro Mayorkas” ที่จะมานั่งเก้าอี้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) “นางAvril Haines” ที่อาจกลายมาเป็นผู้อำนวยการหญิงคนแรกของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ “นางLinda Thomas-Greenfield” ที่อาจไปนั่งตำแหน่งทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็น “นายJake Sullivan” ที่อาจขึ้นชั้นเป็นที่ปรึกษาความมั่นคงประจำทำเนียบขาว ขณะยังหนุ่ม ยังแน่น ไปจนถึงประเภทแก่แล้ว ชราแล้ว อย่าง “นายJohn Kerry” อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศยุคก่อน ที่อาจหันมารับบทเป็นตัวแทนพิเศษประธานาธิบดีคนใหม่ ในเรื่องการแก้ปัญหาสภาวะอากาศ ฯลฯ....
โดยถ้าว่ากันตาม “รายชื่อ” แต่ละรายชื่อแล้ว...ก็ส่งผลให้บรรดา “กูรู-กูรู้” ทั้งหลาย ในระดับระหว่างประเทศ หรือระดับโลกออกมาวิเคราะห์ สังเคราะห์กันชนิดเยอะแยะมากมาย ลากเอาความเป็นไปในอดีต ไม่ว่าในแง่ “จุดยืน-แนวคิด-และวิธีการ” ของแต่ละตัวบุคคล มาใช้เป็นองค์ประกอบในการวิพากษ์วิจารณ์ ชนิดตามอ่านกันไม่หวาด-ไม่ไหว เพราะแต่ละคน แต่ละราย ล้วนแล้วแต่มี “เรคคอร์ด” ประดับตัวตน และประดับบารมี ไปด้วยกันทั้งสิ้น แต่โดยรวมๆ...ถ้าว่ากันถึงรายละเอียดของประสบการณ์และฝีมือ ความสามารถของแต่ละหน่อ แต่ละรายแล้ว ก็น่าจะก่อให้เกิด “ภาพรวม” แบบที่มือวางอันดับหนึ่งในด้านต่างประเทศ อย่างรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” (Sergey Lavrov) ท่านเคยสรุปแบบสั้นๆ ง่ายๆ เอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วนั่นแหละว่า...นโยบายต่างประเทศของอเมริกายุคใหม่ คงไม่ได้ต่างอะไรไปจากยุค “โอมาบ้า” หรือยุคอดีตประธานาธิบดี “บารัค โอบามา” นั่นแล...
และอันที่จริงแล้ว...ตัวของว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกัน ผู้ซึ่งจะเข้ารับพิธีสาบานตัว ช่วงปลายเดือนมกราคมปีหน้า (20 ม.ค.21) อย่างคุณทวด “โจซึมเซา” ท่านก็ได้ออกมาชี้ให้เห็นถึงทิศทาง แนวทางของรัฐบาลชุดใหม่ อย่างชนิดค่อนข้างจะชัดเจน หรือออกจะ “คม-ชัด-ลึก” อยู่พอสมควร โดยเฉพาะการเน้นย้ำถึงการหวนคืนกลับไปสู่แนวทาง “โลกาภิวัตน์แบบเต็มตัว” ไม่ได้คิดจะ “โดดเดี่ยวตัวเอง” อยู่หลัง “กำแพงเม็กซิโก” แบบรัฐบาลชุดก่อนแต่อย่างใด หรือคงหนีไม่พ้นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว พัวพัน และแทรกแซงกิจการภายในของประเทศต่างๆ ระดับทั่วทุกซีกโลก อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ โดยจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับบรรดาประเทศในยุโรปและนาโต หรือที่เรียกๆกันว่า “Trans-Atlantic” ดูดียิ่งขึ้น เข้าร่อง เข้ารอย มากยิ่งขึ้นความสัมพันธ์กับจีนยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น มีเหตุมีผลยิ่งขึ้น โดยอาจหันกลับไปโดดเดี่ยวรัสเซียกันแทนที่ ฯลฯ หรือไม่ อย่างไร คงต้องค่อยๆ ติดตามกันไปเป็นระยะๆ...
แต่อย่างไรก็ตาม...การหวนกลับไปสู่ “โลกาภิวัตน์แบบเต็มตัว” แบบเดียวกับยุค “โอมาบ้า” นั้น ก็ออกจะก่อให้เกิด “คำถาม” จำนวนไม่น้อย ต่อบรรดานักสังเกตการณ์ทั้งหลาย ว่าท้ายที่สุดแล้ว...มันจะช่วยให้เกิดทางออก ทางไป หรือ “ทางรอด” สำหรับประเทศจักรวรรดินิยมอย่างอเมริกา หรือจะนำมาซึ่งความพยายามแก้ไข “ความผิดพลาดอย่างมหันต์” ด้วย “ความผิดพลาดอย่างอภิมหันต์” อันอาจนำไปสู่ความ “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” อย่างเป็นการถาวรภายในอนาคตเบื้องหน้า อันนี้นี่แหละ...ที่ถือเป็นเรื่องสำคัญ และควรจับตาอย่างมิอาจกะพริบตา เพราะเป็นสิ่งที่ออกจะเกี่ยวพันกับอนาคตและชะตากรรมของโลกอย่างมิอาจปฏิเสธได้...
คือความเป็น “โลกาภิวัตน์” แบบเดิมๆ หรือ “โลกาภิวัตน์ที่ถูกขับเคลื่อนโดยทุนนิยมเสรี” หรือจะเรียก “โลกาภิวัตน์จากชั้นบน” ฯลฯ ก็แล้วแต่ คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า...มันน่าจะแสดง “ความล้มเหลว” ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน นับเป็นทศวรรษๆ เข้าไปแล้ว หรือถ้าว่ากันใน “เชิงสัญลักษณ์” ก็อาจนับตั้งแต่ได้เกิดฉากเหตุการณ์ที่เรียกๆ กันว่า “การปะทะที่ซีแอตเติล” (The Battle of Seattle) การล้มเวทีประชุมอันอาจถือเป็นพิธีฉลองชัยชนะของระบบทุนนิยม หรือเวที “ความร่วมมือข้อตกลงพหุภาคีเพื่อการลงทุน” (The Multilateral Agreement on Investment-MAI) โดยบรรดากลุ่มผู้ต่อต้านทุนนิยม อันสุดแสนจะหลากหลายที่อุบัติขึ้นมา ณ กรุงซีแอตเติล ประเทศอเมริกา เมื่อช่วงปี ค.ศ. 1999 โน่นเลย ชนิด “ฮอลลีวูด” ต้องหยิบไปสร้างเป็นหนัง เป็นละคร ออกมาฉายกันจนได้...
และโดยเฉพาะในยุค “โอมาบ้า” นั้น...ผลพวงของความล้มเหลวในลักษณะที่ว่า มันเริ่มแสดงตัวให้เห็นเป็นที่ประจักษ์โดยชัดเจน ชนิดผู้ที่ได้ชื่อว่านักคิด นักปราชญ์ แห่งยุคสมัยปัจจุบัน อย่าง “นายนอม” หรือ “โนม ชอมสกี” (Noam Chomsky) ถึงกับต้องสรุปเอาไว้ประมาณว่า...เหตุที่ระบอบการเมือง-การปกครองแบบ “ประชาธิปไตยเสรี” ต้องเจ๊งแล้วเจ๊งอีก ต้องล้มคว่ำคะมำหงายกันในระดับทั่วทั้งโลก ก็เนื่องมาจาก “ความล้มเหลว” ของพวก “เสรีนิยมใหม่” ทั้งหลาย หรือพวก “โลกาภิวัตน์จากชั้นบน” นั่นเอง อันนำไปสู่ปฏิกิริยาแรงต่อต้านในรูปแบบต่างๆ เกิดกระแสประชานิยมขวาจัด เกิดพวกต่อต้านเชื้อชาติ ต่อต้านผู้อพยพ ฯลฯ หวนคืนกลับมา หรือก่อให้เกิดผู้นำที่มีลักษณะแบบ “ทรัมป์บ้า” โผล่ออกมา “บ้า...ก็...บ้าวะ” ไปแทบจะทั่วทั้งโลกเอาเลยก็ว่าได้...
ไม่ว่าจะด้วยเหตุเพราะ “การไหลไป-ไหลมาของทุน” ที่มุ่งตอบสนองผลประโยชน์ของบรรดาบรรษัทข้ามชาติ หรือพวก “อีลีทโลก” ทั้งหลายเป็นสำคัญ ชนิดไม่ว่า “รัฐ” หรือ “ชาติ” ใดๆ ควบคุมแทบไม่ได้ ด้วยการย่อยแยก การกระจัดกระจายของสิ่งที่เรียกว่า “ห่วงโซ่อุปทาน” (Supply Chain) ที่ทำให้เกิดผลกระทบอันสุดแสนจะซับซ้อนซ่อนเงื่อน ต่อชาติต่างๆ แบบชนิดไล่เรียงไปเป็นลูกระนาด หรือด้วยความอ่อนแอ เสื่อมโทรมของความเป็นรัฐชาติทั้งหลาย จนนำมาซึ่งปฏิกิริยาต่อต้านแต่ละรูปแบบ เกิดพวกชาตินิยม เชื้อชาตินิยม ศาสนานิยม ประชานิยมฝ่ายขวา ฯลฯ ผลุบๆ โผล่ๆ ขึ้นมาในแต่ละสังคม แต่ละประเทศ แม้แต่ในประเทศอเมริกาเอง ขณะที่ประเทศซึ่งไม่ได้เป็น “ประชาธิปไตยเสรี” หรือ “ทุนนิยมเสรี” กลับมีเครื่องมือ เครื่องไม้ ในการบริหารจัดการ หรือมีพลังอำนาจในการคัดง้าง การไหลไป-ไหลมาตาม “ผลประโยชน์” ของกลุ่มทุนทั้งหลายได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นประเทศ “ทุนนิยมเผด็จการ” อย่างจีน หรือ “ประชาธิปไตยมาเฟีย” อย่างรัสเซียก็ตามที...
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง..ที่ทำให้การหวนกลับไปสู่ “โลกาภิวัตน์(เก่าๆ)แบบเต็มตัว” มันคงไม่น่าจะช่วยให้ประเทศอเมริกาภายใต้การนำของคุณทวด “โจซึมเซา” เกิดทางออก ทางไป หรือ “ทางรอด” มากมายสักเท่าไหร่นัก ยิ่งต้องเจอกับ “ปัญหาภายใน” ที่นับวันจะหนักหน่วงและรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าการสู้กับโรคระบาด (COVID-19) การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไปจนถึงปัญหาเชื้อชาติและสีผิว อันอาจทำให้ความพยายามที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวพัวพันกับผลประโยชน์ในซีกโลกต่างๆ ทำให้อเมริกายุคใหม่ อาจต้องหันไป “เดินหมากตาสุดท้าย” หรือหันไปใช้พลังอำนาจทางทหารหนักซะยิ่งกว่า “ทรัมป์บ้า” เอาเลยก็ไม่แน่!!!...และนั่นย่อมทำให้โอกาสที่จะเกิดการ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาในแนวรบแห่งหนึ่งแห่งใด ย่อมมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องหาทางจับตาเอาไว้แบบมิอาจกะพริบตาได้เลย...