ปิดฉากสัปดาห์นี้...ก็แทบไม่รู้จะไปควานหาเรื่อง “เบาๆ-สบายๆ” จากที่ไหนต่อที่ไหน มาปรนเปรอตอบสนองความต้องการของบรรดาผู้ที่ต้อง “เครียดแล้ว-เครียดอีก” ได้เลยแม้แต่น้อย เพราะไม่ต้องเสียเวลาร่อนไป-ร่อนมา ณ ที่ไหนๆ แค่เฉพาะบ้านเรา หรือประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ก็เล่นเอา...เส้นประสาท เส้นเลือดบริเวณหัวสมอง หนีไม่พ้นต้องโป่งแล้ว-โป่งอีก คืออะไรมัน “เซาเคียดแหน่เด้อ” เท่านี้...ย่อมไม่มีอีกแล้ว!!!
อาจเป็นเพราะผู้คนยุคนี้ สมัยนี้ ออกจะเป็นอะไรที่ “หัวร้อน” อย่างเป็นพิเศษ ยิ่งประเภทที่หนักไปทาง “เสรี” ไม่ว่าจะเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หรือเสรี วงษ์มณฑา ฯลฯ ก็แล้วแต่ หรือบรรดาผู้ที่อยู่ในสังคมประเภทเสรีๆ ทั้งหลาย อย่างประเทศเยอรมนียุคนี้ แค่ไม่อยากสวมหน้ากาก ป้องกันและเผยแพร่เชื้อโควิด ไม่อยากฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกัน จะเพราะกลัวเจ็บ หรือเพราะกลัวอะไรก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เมื่อถูก “การบังคับใช้ด้วยกฎหมาย” ก็เลยแห่ออกมาต่อต้าน คัดค้านลงถนนกันเป็นหมื่นๆ คนเอาเลยถึงขั้นนั้น ไม่ต่างอะไรไปจากคุณน้าฝรั่งเศส แค่เจอกับกฎหมายห้ามมิให้โพสต์รูป โพสต์ภาพของบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ไปในทางร้ายๆ หรือในทางที่ทำให้เสื่อมเสีย เสียหาย ต่อการปฏิบัติหน้าที่ไม่ว่าในแง่ส่วนตัว หรือส่วนรวมก็แล้วแต่ อาจถึงขั้นต้องติดคุก 1 ปี ไม่ก็ปรับเป็นเงินถึง 45,000 ยูโร หรือกฎหมายที่เรียกว่า “Global Security Law” ก็ถึงกับส่งผลให้บรรดาชาวฝรั่งเศส และเศษฝรั่งทั้งหลาย ลุกฮือขึ้นมาประท้วงโน่น ประท้วงนี่ กันเป็นสายๆ ตั้งแต่เมือง Rennes, Lyon, Toulouse ไปยันถึง Paris ฯลฯ โน่นเลย...
ส่วนคุณพ่ออเมริกานั้น...คงแทบไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่ใช่แค่ประท้วงกันธรรมดาๆ แต่ยังออกอาการ “ม็อบปลดแอก” หนีไม่พ้นต้องโคจรมาเจอกับ “ม็อบไทยภักดี” แบบเดียวกับบ้านเรานั่นแหละ เผลอๆ อาจหนักกว่าประมาณ 3 เท่า 4 เท่า เป็นอย่างน้อย คือบ้านเรานั้น...เห็นว่าปาก้อนหิน รุมซ้อม รุมกระทืบ พอให้หายคันมือ คันตีน กันไปตามสภาพ แต่สำหรับอเมริกันชนที่ต่างก็มีอาวุธอยู่ในมือไปด้วยกันทั้งสิ้น การไล่เสียบ ไล่แทง ไล่ยิง ไล่ฆ่าระหว่างกันและกัน ระหว่างม็อบฝ่ายขวากับฝ่ายซ้าย หรือม็อบหนุน “ทรัมป์บ้า” กับม็อบ “Antifa” มันจะไปไกลถึงไหนต่อถึงไหน ก็ยังมิอาจคาดคำนวณได้ แต่โดยแนวโน้มทั่วๆ ไป น่าจะหนีไม่พ้นต้องเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก ไปอีกนานเท่านาน...
อย่างไรก็ตาม...ท่ามกลางการลุกฮือ การต่อต้านการบังคับใช้กฎหมายของแต่ละประเทศนั้น ผู้ที่อาจต้องถือเป็น “พระเอก” ภายใต้ฉากสถานการณ์ทำนองนี้ ก็น่าจะหนีไม่พ้น “รถฉีดน้ำ” หรือพาหนะที่ใช้ในการรับมือบรรดาผู้ประท้วงทั้งหลาย ที่ติดตั้งเครื่องฉีดน้ำความแรงสูง หรือที่เรียกๆ กันว่า “Water Cannons” อะไรประมาณนั้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นประเทศประชาธิปไตยแบบสุดแสนจะเสรีเพียงใดก็ตาม หนีไม่พ้นต้องงัดออกมาใช้ มาปฏิบัติการกันไปเป็นคันๆ นั่นแล แม้แต่ฝรั่งเศส...ดินแดนแห่งการปฏิวัติเพื่อเสรีภาพ-เสมอภาค-และภารดรภาพทั้งหลาย ด้วยการจับใครต่อใครมาตัดหัว คั่วแห้ง ไม่เว้นแม้แต่พระมหากษัตริย์ จนเลือดนองท้องช้างกันไปแทบทั้งแผ่นดิน และกลายมาเป็น “แบบอย่าง-ตัวอย่าง” ให้กับบรรดาพวกเด็กๆ ในบ้านเรา หรือพวกเลียตูดเด็ก ที่พยายามยุแยงตะแคงรั่วไม่เว้นแต่ละวัน แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว...ก็ยังหนีไม่พ้นต้องงัดเอา “รถฉีดน้ำ” มาฉีดไล่พวกที่คิดลุกฮือขึ้นมาในเมืองต่างๆ ในช่วงนี้ ชนิดหัวทิ่ม-หัวตำ ผงะหงาย ล้มลุกคลุกคลาน ไม่น้อยกว่าบ้านเราเอาเลยแม้แต่นิด...
เยอรมนี...ก็เช่นกัน!!! อาศัย “รถฉีดน้ำ” ที่ว่านี่แหละเป็นตัวหลัก ถึงพอช่วยให้บรรดาเยอรมันชน ที่ไม่คิดสวมหน้ากาก ไม่คิดจะฉีดวัคซีน เกิดการแตกสลาย กระจัดกระจายไปได้เป็นพักๆ ส่วนจะตามไปไล่ทุบ ไล่กระทืบ และไล่จับ กันในภายหลังหรือไม่ อย่างไร ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด เพราะว่ากันว่า...บรรดาน้ำที่ใช้กับ “ปืนใหญ่ฉีดน้ำ” เหล่านี้ เขามักผสมสี หรือผสมสารเคมีที่เรียกว่า “pink dye” เอาไว้ด้วย อันเป็นสีที่ทำให้ล้างไม่ออก ลอกไม่ออก จะได้ตามจับเรียงตัวกันได้ง่ายๆ โดยว่ากันว่า...ผู้ที่ประดิษฐ์คิดค้น “ไอเดีย” ทำนองนี้ น่าจะเป็นแถวๆ ประเทศเกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย ที่เคยมีการประท้วง การลุกฮืออยู่บ่อยๆ เมื่อครั้งอดีต ที่ได้ออกไอเดียเก๋ๆ ไก๋ๆ เหล่านี้ เอาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 โน่นเลย...
คือพระเอกในการรับมือกับการลุกฮือ การประท้วงของพวก “หัวร้อน” ทั้งหลายอย่าง “รถฉีดน้ำ” นั้น...ดูจะมี “วิวัฒนาการ” อย่างต่อเนื่องยาวนานอยู่พอสมควร แรกๆ...ว่ากันว่าเคยเป็นเพียงเครื่องมือ เครื่องใช้ของพวก “เรือดับเพลิง” อะไรทำนองนั้น แต่ต่อมาประเทศซึ่งต้องรับมือการประท้วงอยู่บ่อยๆ อย่างเยอรมนีเมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว จึงได้เกิดพวก “หัวใส” ที่นำเอามาตกแต่ง ต่อยอดให้กลายเป็น “รถฉีดน้ำความแรงสูง” เพื่อจัดการกับพวกม็อบต่างๆ มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 กันโดยเฉพาะ และด้วยเหตุเพราะค่อนข้างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมิใช่น้อย คือไม่ถึงกับทำให้ต้องบาดเจ็บสาหัส ล้มตายอะไรมาก แค่หัวทิ่ม-หัวตำ ล้มคว่ำคะมำหงาย หรือออกจะเป็นอะไรที่ค่อนข้างประณีต นุ่มนวล และนุ่มนิ่ม ในการจัดการกับพวกชอบประท้วง ชอบลงถนนทั้งหลาย พระเอกรายนี้...จึงได้ถูกวิวัฒนาการให้กลายเป็นเครื่องมือปราบจลาจล ในระดับ “สากล” ชนิดไม่ว่าอเมริกา ยุโรป ต่างนำไปดัดแปลง และเผยแพร่ จนกระจายไปยังแอฟริกา เอเชีย ฯลฯ ต่อเนื่องกันไปตามลำดับ...
การนำเอาสารเคมีที่เรียกว่า “pink dye” มาผสม...เพื่อให้เกิดการตามไปจับง่ายๆ ในภายหลัง หรือการนำเอา “แก๊สน้ำตา” เข้าไปกวนไป-กวนมา กับน้ำที่ฉีดออกมาด้วย จึงค่อยๆ เกิดการเสริมเพิ่มเติมขึ้นมาภายหลัง ส่วนถึงขั้นคิดจะเอา “กระแสไฟฟ้า” เข้าไปผสมกับสายน้ำที่ถูกฉีด ถูกพ่นออกมา ตามแบบฉบับที่เรียกว่า “Jaycor Tactical Systems” ที่เพิ่งประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาในช่วงปี ค.ศ. 2004 กันด้วยหรือไม่ อย่างไร ก็คงขึ้นอยู่กับความก้าวหน้า ความทันสมัยของแต่ละประเทศ ที่ต้องรับมือกับพวก “หัวร้อน” หนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย เยอรมนี ฮ่องกง ตุรกี รวมทั้ง “พี่ไทย” ของเราด้วย ต่างก็ต้องอาศัยพระเอก อย่าง “รถฉีดน้ำ” เข้าประจำการ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ...
สำหรับบ้านเรานั้น...เห็นว่า น่าจะเป็นช่วง 7 ปี 8 ปีที่แล้ว หรือช่วงที่เกิดการลุกฮือขึ้นมาประท้วง ต่อต้านกฎหมายปรองดองอะไรประมาณนั้น ก็เริ่มเกิดการนำเอา “รถฉีดน้ำ” เข้ามารับมือกับพวกประท้วงอย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ คือเป็นรถสีน้ำเงิน 10 ล้อ ติดปืนฉีดน้ำความแรงสูง มีตะแกรงเหล็กป้องกันกระจกรอบด้าน มีคันกั้นเหล็กหน้ารถ รอบตัวรถติดตั้งกล้องวงจรปิด คอยจับภาพและบันทึกเหตุการณ์รอบทิศทาง ฉีดน้ำได้ครั้งละ 12,000 ลิตร รัศมีทำการสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 65 เมตร สามารถปรับระดับการฉีด การยิงได้ชนิดเซ็นเซอร์ราวด์รอบทิศ รอบทาง อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของ “กองบังคับการรักษาและควบคุมฝูงชน” หรือ “บก.อคฝ.” โดยสั่งซื้อจากประเทศเกาหลีใต้ ในมูลค่าคันละไม่น้อยกว่า 25-27 ล้านบาท...
แต่ก็นั่นแหละ...เมื่อเจอเข้ากับม็อบเด็กๆ ที่สุดซ่าส์ส์ส์ สุดแสบบ์บ์บ์ ไม่ว่าในแง่ของการ “ยั่วยวนกวนส้นตีน” ฝ่ายตรงกันข้าม หรือการประดิษฐ์คิดค้นมุกใหม่ๆ ในการต่อสู้เพื่อได้มาซึ่ง “เสรีภาพของ Porn Hub” ไปจนถึง “เสรีภาพในการปฏิรูปกษัตริย์” โน่นเลย พระเอกรายนี้...ก็เลยต้องรับบทเป็น “พระเอกตายตอนจบ” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ คือต้องเจอกับ “ใครก็ไม่รู้???” ที่ไม่รู้ว่ากล้องวงจรปิดจะจับภาพเอาไว้ได้หรือไม่? แอบเอา “ทราย” และ “ขยะ” เข้าไปยัดใส่ “ถังน้ำมัน” ของรถฉีดน้ำ จนถึงขั้นต้องฉิบหายวายวอดไปแล้ว 3 คัน สูญเสียเงินตราต่างประเทศไปแล้วเกือบๆ ร้อยล้านบาท...
เฮ้ออ์อ์อ์...เจอเข้ากับความ “หัวร้อน” ในลักษณะเช่นนี้ บรรดาคนแก่ คนชรา หรือบรรดาผู้ที่ “วิวัฒนาการ” ได้ค่อนข้างจะเชื่องช้าทั้งหลาย เลยหนีไม่พ้นต้องปวดหัว ต้อง “เซาเคียดแหน่เด้อ” ชนิดเส้นเลือดบริเวณขมับโป่งแล้ว โป่งอีก และอาจเป็นเพราะด้วยเหตุทำนองนี้หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้ ที่ทำให้ประเทศ “เผด็จการ” อย่างคุณพี่จีน โดยผู้นำอย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ท่านเลยต้องออกมาเน้น มาย้ำ ในที่ประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ไปเมื่อช่วงวันอังคาร (17 พ.ย.) ที่ผ่านมา ถึงความจำเป็นและความสำคัญเอามากๆ ในการปกปักรักษา “หลักนิติธรรม” ตามแบบฉบับสังคมนิยมแบบจีนๆ ที่แม้จะต้อง “เปิดกว้าง” หรือแม้จะต้องก้าวเข้าสู่ “ความทันสมัย” เพียงไรก็ตาม แต่ “การบังคับใช้กฎหมาย” ให้เป็นจริง เป็นจัง หรือให้เกิด “ความศักดิ์สิทธิ์” ย่อมเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...