ผู้จัดการรายวัน 360 - ตลาดหุ้นไทยเด้งแรงกว่า 55 จุด วอลุ่มทะลัก 1.66 แสนล้าน ทำสถิติสูงสุดในรอบ 17 เดือน รับวัคซีโควิด-19 คืบหน้าแล้ว 90% ทำให้นักลงทุนซื้อตุนหุ้นท่องเที่ยวทั้งโรงแรม สายการบิน นักวิเคราะห์แนะจับตาปัจจัยลบ "ทรัมป์" ป่วนผลเลือกตั้ง-กำไรบจ.ไตรมาส 3 ขณะที่ราคาทองผันผวนหนัก ราคาเปิดร่วงทันที 1,200 บาท ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน ก่อนจะปรับตัวขึ้นลงตลอดทั้งวันรวม 10 ครั้ง ลดลงจากวันก่อน 1,150 บาท ด้าน "ปตท." ขาดทุนสต๊อกน้ำมันฉุดกำไรงวด 9 เดือน เหลือ 2.4 หมื่นล้าน ลดลง 67%
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (10 พ.ย.) นักลงทุนแห่เข้ามาลงทุนเก็งกำไรกันอย่างคึกคัก ตั้งแต่เปิดการซื้อขายภาคเช้า เพื่อขานรับกรณีที่บริษัทยาไฟเซอร์ อิงค์ของสหรัฐฯ และไบโอเอ็นเท็ค เยอรมนี ประสบความสำเร็จในการผลิตวัคซีนโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพป้องกันโรคมากกว่า 90% ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรงสอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวแตะระดับสูงสุดที่ 1,346.72 จุด ต่ำสุดที่ 1,313.04 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 1,341.24 จุด เพิ่มขึ้น 55.36 จุด หรือคิดเป็น 4.31% มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 166,674.91 ล้านบาท นับเป็นสถิติมูลค่าการซื้อสูงสุดในรอบ 17 เดือน
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 18,958.37 ล้านบาท สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 3,090.17 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 36.54 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศ ขายสุทธิ 22,012.01 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) ราคาปิด 67.75 บาท เพิ่มขึ้น 10.50 บาท หรือ 18.34% มูลค่าซื้อขาย 21,401.57 ล้านบาท ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 94.25 บาท เพิ่มขึ้น 13.75 บาท หรือ 17.08% มูลค่า 10,713.43 ล้านบาท บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ปิดที่ 23.10 บาท เพิ่มขึ้น 4.80 บาท หรือ 26.23% มูลค่า 9,316.69 ล้านบาท
ตลาดหุ้นเอเชียที่สำคัญต่างปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า อาทิ ตลาดหุ้นโตเกียว ดัชนีนิกเกอิ ปิดที่ 24,905.59 จุด เพิ่มขึ้น 65.75 จุด หรือ 0.26% ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีฮั่งเส็ง ปิดที่ 26,301.48 จุด เพิ่มขึ้น 285.31 จุด หรือ 1.10% ตลาดหุ้นจีน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,360.15 จุด ลดลง 13.59 จุด หรือ 0.40%
ทองร่วง 1200 บาทต่ำสุดในรอบ 4 เดือน
ด้านสมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาทองประจำวัน มีการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำ 10 ครั้ง ปรับตัวลดลงรวมมากถึง 1,150 บาท โดยเฉพาะเปิดตลาดราคาปรับลดรวดเดียว 1,200 บาท ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนนับตั้งแต่เดือน ก.ค. โดยราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 27,650 บาท รับซื้อบาทละ 26,560.32 บาท ขณะที่ทองคำแท่งขายออกบาทละ 27,150 บาท และรับซื้อบาทละ 27,050 บาท
จับตา "ทรัมป์" ป่วนผลเลือกตั้ง
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงตอบรับพัฒนาการวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 หลังจาก 2 บริษัทผู้ผลิตแถลงผลการทดลองพัฒนาวัคซีนมีประสิทธิภาพมากกว่า 90% ทำให้หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว, สายการบิน และโรงแรม ต่างกลับมาขึ้นอย่างโดดเด่นช่วยหนุนตลาดฯให้ขึ้นแรงได้ดีกว่าตลาดต่างประเทศ
อย่างไรก็ตามปัจจัยลบที่ยังต้องติดตามต่อเนื่องคือ ท่าทีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังไม่รับความพ่ายแพ้จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมถึงการปรับน้ำหนักลงทุนของ MSCI ที่จะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทย รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่กำลังทยอยออกมาด้วย
ปตท.แบกขาดทุนสต๊อกฉุดกำไรวูบ 67%
รายงานข่าวแจ้งว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) PTT ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 กำไรสุทธิ 14,120 ล้านบาท ลดลงงวดเดียวกันของปีก่อน 6,135 ล้านบาท หรือ 30.3% ขณะที่กำไรสุทธิสะสมงวด 9 เดือน อยู่ที่ 24,619 ล้านบาท ลดลง 50,886 ล้านบาท หรือ 67.4% โดยเป็นผลจาก EBITDA ที่ลดลงจากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตเลียม และของธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรมที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการ
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (10 พ.ย.) นักลงทุนแห่เข้ามาลงทุนเก็งกำไรกันอย่างคึกคัก ตั้งแต่เปิดการซื้อขายภาคเช้า เพื่อขานรับกรณีที่บริษัทยาไฟเซอร์ อิงค์ของสหรัฐฯ และไบโอเอ็นเท็ค เยอรมนี ประสบความสำเร็จในการผลิตวัคซีนโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพป้องกันโรคมากกว่า 90% ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรงสอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวแตะระดับสูงสุดที่ 1,346.72 จุด ต่ำสุดที่ 1,313.04 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 1,341.24 จุด เพิ่มขึ้น 55.36 จุด หรือคิดเป็น 4.31% มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 166,674.91 ล้านบาท นับเป็นสถิติมูลค่าการซื้อสูงสุดในรอบ 17 เดือน
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 18,958.37 ล้านบาท สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 3,090.17 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 36.54 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศ ขายสุทธิ 22,012.01 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) ราคาปิด 67.75 บาท เพิ่มขึ้น 10.50 บาท หรือ 18.34% มูลค่าซื้อขาย 21,401.57 ล้านบาท ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 94.25 บาท เพิ่มขึ้น 13.75 บาท หรือ 17.08% มูลค่า 10,713.43 ล้านบาท บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ปิดที่ 23.10 บาท เพิ่มขึ้น 4.80 บาท หรือ 26.23% มูลค่า 9,316.69 ล้านบาท
ตลาดหุ้นเอเชียที่สำคัญต่างปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า อาทิ ตลาดหุ้นโตเกียว ดัชนีนิกเกอิ ปิดที่ 24,905.59 จุด เพิ่มขึ้น 65.75 จุด หรือ 0.26% ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีฮั่งเส็ง ปิดที่ 26,301.48 จุด เพิ่มขึ้น 285.31 จุด หรือ 1.10% ตลาดหุ้นจีน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,360.15 จุด ลดลง 13.59 จุด หรือ 0.40%
ทองร่วง 1200 บาทต่ำสุดในรอบ 4 เดือน
ด้านสมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาทองประจำวัน มีการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำ 10 ครั้ง ปรับตัวลดลงรวมมากถึง 1,150 บาท โดยเฉพาะเปิดตลาดราคาปรับลดรวดเดียว 1,200 บาท ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนนับตั้งแต่เดือน ก.ค. โดยราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 27,650 บาท รับซื้อบาทละ 26,560.32 บาท ขณะที่ทองคำแท่งขายออกบาทละ 27,150 บาท และรับซื้อบาทละ 27,050 บาท
จับตา "ทรัมป์" ป่วนผลเลือกตั้ง
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงตอบรับพัฒนาการวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 หลังจาก 2 บริษัทผู้ผลิตแถลงผลการทดลองพัฒนาวัคซีนมีประสิทธิภาพมากกว่า 90% ทำให้หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว, สายการบิน และโรงแรม ต่างกลับมาขึ้นอย่างโดดเด่นช่วยหนุนตลาดฯให้ขึ้นแรงได้ดีกว่าตลาดต่างประเทศ
อย่างไรก็ตามปัจจัยลบที่ยังต้องติดตามต่อเนื่องคือ ท่าทีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังไม่รับความพ่ายแพ้จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมถึงการปรับน้ำหนักลงทุนของ MSCI ที่จะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทย รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่กำลังทยอยออกมาด้วย
ปตท.แบกขาดทุนสต๊อกฉุดกำไรวูบ 67%
รายงานข่าวแจ้งว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) PTT ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 กำไรสุทธิ 14,120 ล้านบาท ลดลงงวดเดียวกันของปีก่อน 6,135 ล้านบาท หรือ 30.3% ขณะที่กำไรสุทธิสะสมงวด 9 เดือน อยู่ที่ 24,619 ล้านบาท ลดลง 50,886 ล้านบาท หรือ 67.4% โดยเป็นผลจาก EBITDA ที่ลดลงจากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตเลียม และของธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรมที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการ
