"สุพัฒนพงษ์" ไม่กังวลปัญหาสำรองไฟสูง 50% เหตุเป็นเพียงระยะสั้น จากผลกระทบเศรษฐกิจชะลอตัว มั่นใจอีก 2 ปีเศรษฐกิจไทย จะกลับมาฟื้น และทำให้การใช้ไฟกลับมาสู่ภาวะปกติได้ ยันมีแผนบริหารไว้แล้ว
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน (ERS)ได้แสดงความกังวลถึงปริมาณสำรองไฟฟ้าขณะนี้ที่สูงถึง 50% และได้มีข้อเสนอการแก้ไข เช่น ให้ยุติโรงไฟฟ้าที่ยังไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA)เป็นต้น ว่า ปริมาณสำรองไฟฟ้าที่สูงเป็นเรื่องในปัจจุบัน ซึ่งจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าได้ลดลงตามทิศทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัส โควิด-19 ซึ่งคาดว่าภายใน 2 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจก็จะกลับมาฟื้นตัว และทำให้การใช้ไฟฟ้าจะกลับมาอยู่ในระดับเดิมได้
" ส่วนข้อเสนอในการแก้ไขโดยเฉพาะให้เจรจาเอกชนชะลอโครงการที่กำลังก่อสร้างเช่น โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมหินกอง ที่เพิ่งเซ็นสัญญาไปผมไม่อยากให้จับประเด็นนี้ เพราะกว่าที่โรงไฟฟ้าจะเสร็จก็อีกหลายปีถึงตอนนั้นทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ เราก็ต้องมาแก้ไขในเรื่องเดิมอีก" นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
นอกจากนี้ ในระยะยาวเองยังต้องคำนึงถึงความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นจะมีทิศทางอย่างไรประกอบด้วย ทั้งระบบขนส่งที่ไทยจะมีรถไฟฟ้าเกิดขึ้นถึง 13 สาย การมาของยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนส่งผลให้มีการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในอนาคตที่จะต้องนำมาเป็นองค์ประกอบด้วย ส่วนที่กังวลในแง่ของสำรองไฟที่เพิ่มสูง จะมีผลต่อค่าไฟฟ้าที่จะสะท้อนไปยังผู้บริโภคนั้น ในเรื่องนี้เห็นว่าการแก้ไขระยะสั้นส่วนหนึ่งกระทรวงพลังงานก็ได้มีนโยบายชัดเจนแล้วในการลดปริมาณไฟฟ้าในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนที่เดิมได้กำหนดไว้เฟสแรก 700 เมกะวัตต์ ภายในปี 2563-64 ก็ให้เหลือแค่ 100-150 เมกะวัตต์เท่านั้น
พร้อมกันนี้ ยังได้มอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) พิจารณาโรงไฟฟ้าที่ขณะนี้ไม่ได้ถูกสั่งให้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้า เพราะเป็นโรงเก่ามีประสิทธิภาพต่ำและจะหมดสัญญาซื้อขายไฟในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ให้มีการปลดระวางโรงไฟฟ้าให้เร็วขึ้น ทั้งโรงไฟฟ้าของเอกชนเองและของกฟผ.ด้วย ขณะเดียวกันก็ยังมีนโยบายที่จะเร่งหาแนวทางการเชื่อมต่อไฟฟ้าระหว่างประเทศ ตามแผนไทยเป็นศูนย์กลางซื้อขายไฟฟ้าอาเซียน
" ส่วนกรณีที่มองว่า ค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นส่วนหนึ่งมาจากสำรองที่สูงนั้น หากเทียบกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนแล้วไทยเองมีอัตราค่าไฟฟ้าที่ไม่ได้แพงกว่าแต่อย่างใด แต่หากหาแนวทางลดได้ ก็เป็นเรื่องที่ดีซึ่งทางกระทรวงฯ ก็พิจารณาอยู่ ซึ่งปัญหาไฟสำรองที่สูงเป็นเรื่องที่ทั่วโลกก็เป็นเพราะผลกระทบจากโควิด-19 ไม่ใช่เป็นปัญหาเฉพาะประเทศไทยอย่างเดียว" นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน (ERS)ได้แสดงความกังวลถึงปริมาณสำรองไฟฟ้าขณะนี้ที่สูงถึง 50% และได้มีข้อเสนอการแก้ไข เช่น ให้ยุติโรงไฟฟ้าที่ยังไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA)เป็นต้น ว่า ปริมาณสำรองไฟฟ้าที่สูงเป็นเรื่องในปัจจุบัน ซึ่งจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าได้ลดลงตามทิศทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัส โควิด-19 ซึ่งคาดว่าภายใน 2 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจก็จะกลับมาฟื้นตัว และทำให้การใช้ไฟฟ้าจะกลับมาอยู่ในระดับเดิมได้
" ส่วนข้อเสนอในการแก้ไขโดยเฉพาะให้เจรจาเอกชนชะลอโครงการที่กำลังก่อสร้างเช่น โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมหินกอง ที่เพิ่งเซ็นสัญญาไปผมไม่อยากให้จับประเด็นนี้ เพราะกว่าที่โรงไฟฟ้าจะเสร็จก็อีกหลายปีถึงตอนนั้นทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ เราก็ต้องมาแก้ไขในเรื่องเดิมอีก" นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
นอกจากนี้ ในระยะยาวเองยังต้องคำนึงถึงความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นจะมีทิศทางอย่างไรประกอบด้วย ทั้งระบบขนส่งที่ไทยจะมีรถไฟฟ้าเกิดขึ้นถึง 13 สาย การมาของยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนส่งผลให้มีการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในอนาคตที่จะต้องนำมาเป็นองค์ประกอบด้วย ส่วนที่กังวลในแง่ของสำรองไฟที่เพิ่มสูง จะมีผลต่อค่าไฟฟ้าที่จะสะท้อนไปยังผู้บริโภคนั้น ในเรื่องนี้เห็นว่าการแก้ไขระยะสั้นส่วนหนึ่งกระทรวงพลังงานก็ได้มีนโยบายชัดเจนแล้วในการลดปริมาณไฟฟ้าในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนที่เดิมได้กำหนดไว้เฟสแรก 700 เมกะวัตต์ ภายในปี 2563-64 ก็ให้เหลือแค่ 100-150 เมกะวัตต์เท่านั้น
พร้อมกันนี้ ยังได้มอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) พิจารณาโรงไฟฟ้าที่ขณะนี้ไม่ได้ถูกสั่งให้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้า เพราะเป็นโรงเก่ามีประสิทธิภาพต่ำและจะหมดสัญญาซื้อขายไฟในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ให้มีการปลดระวางโรงไฟฟ้าให้เร็วขึ้น ทั้งโรงไฟฟ้าของเอกชนเองและของกฟผ.ด้วย ขณะเดียวกันก็ยังมีนโยบายที่จะเร่งหาแนวทางการเชื่อมต่อไฟฟ้าระหว่างประเทศ ตามแผนไทยเป็นศูนย์กลางซื้อขายไฟฟ้าอาเซียน
" ส่วนกรณีที่มองว่า ค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นส่วนหนึ่งมาจากสำรองที่สูงนั้น หากเทียบกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนแล้วไทยเองมีอัตราค่าไฟฟ้าที่ไม่ได้แพงกว่าแต่อย่างใด แต่หากหาแนวทางลดได้ ก็เป็นเรื่องที่ดีซึ่งทางกระทรวงฯ ก็พิจารณาอยู่ ซึ่งปัญหาไฟสำรองที่สูงเป็นเรื่องที่ทั่วโลกก็เป็นเพราะผลกระทบจากโควิด-19 ไม่ใช่เป็นปัญหาเฉพาะประเทศไทยอย่างเดียว" นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
