ผู้จัดการรายวัน 360 รัฐบาลเผยทิศทางแผนพลังงานแห่งชาติ มุ่งความมั่นคงทางพลังงาน เพิ่มใช้พลังงานทดแทน โรงไฟฟ้าชุมชนฉลุย ขยายสถานีเติมไฟฟ้ารถอีวี ทุก 50-70 กม. เดินหน้าโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ประเดิมโครงการ Quick Win 100 เมกกะวัตต์ เซ็นสัญญาภายในปีนี้
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ดำเนินการขับเคลื่อนแผนนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ 2561-2580 ซึ่งหมายถึง การที่ทุกภาคส่วนจะได้บูรณาการการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย การมีความมั่นคงทางพลังงานครอบคลุมทั้งระบบผลิตไฟฟ้า ส่งไฟฟ้า และจำหน่ายไฟฟ้า โดยคำนึงถึงต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม ลดภาระผู้ใช้ไฟฟ้า ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน
รัฐบาลได้ตั้งเป้าการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนทางเลือก (ไฟฟ้า ความร้อน และเชื้อเพลิงชีวภาพ) ต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย ที่ 30% ในปี พ.ศ.2580 และเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ ในปี 2580 เป็น 34.23% มากกว่าแผนเดิม ที่ตั้งไว้ที่ 20.11% โดยเน้นที่พลังงานแสงอาทิตย์ (กำลังผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 9,290 เมกะวัตต์ จากเดิม 6,000 เมกะวัตต์) และพลังแสงอาทิตย์ลอยน้ำ (เพิ่มเป็น 2,725 เมกะวัตต์ จากเดิม ที่ไม่ได้ตั้งเป้าไว้) มากไปกว่านั้น รัฐบาลได้เร่งสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศ จะมีการทบทวนโครงการสถานีเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซแบบลอยน้ำในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
รัฐบาลยังส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า ทั้งในพื้นที่ชุมชนและถนนสายหลักระหว่างเมือง กระตุ้นการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จึงสั่งการให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง ดำเนินการกำหนดพื้นที่ติดตั้งสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าให้เพียงพอสำหรับการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV Mapping) โดยให้มีระยะห่างของแต่ละสถานีไม่เกิน 50-70 กม.
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก จะเปิดรับซื้อไฟฟ้าในเร็วๆ นี้ เน้นการผลิตไฟฟ้าตามศักยภาพของการปลูกพืชพลังงานในพื้นที่ อาทิ หญ้าเนเปียร์ กระถินณรงค์ เพื่อให้เกิดการสร้างงานและอาชีพในท้องถิ่น
เป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าช่วงปี 2563-2567 มีปริมาณรวม 1,933 เมกะวัตต์ เริ่มที่โครงการ Quick Win (ระยะเร่งด่วน) จำนวน 100 เมกะวัตต์ จะลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในปี 2563 และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายใน 12 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ดำเนินการขับเคลื่อนแผนนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ 2561-2580 ซึ่งหมายถึง การที่ทุกภาคส่วนจะได้บูรณาการการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย การมีความมั่นคงทางพลังงานครอบคลุมทั้งระบบผลิตไฟฟ้า ส่งไฟฟ้า และจำหน่ายไฟฟ้า โดยคำนึงถึงต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม ลดภาระผู้ใช้ไฟฟ้า ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน
รัฐบาลได้ตั้งเป้าการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนทางเลือก (ไฟฟ้า ความร้อน และเชื้อเพลิงชีวภาพ) ต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย ที่ 30% ในปี พ.ศ.2580 และเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ ในปี 2580 เป็น 34.23% มากกว่าแผนเดิม ที่ตั้งไว้ที่ 20.11% โดยเน้นที่พลังงานแสงอาทิตย์ (กำลังผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 9,290 เมกะวัตต์ จากเดิม 6,000 เมกะวัตต์) และพลังแสงอาทิตย์ลอยน้ำ (เพิ่มเป็น 2,725 เมกะวัตต์ จากเดิม ที่ไม่ได้ตั้งเป้าไว้) มากไปกว่านั้น รัฐบาลได้เร่งสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศ จะมีการทบทวนโครงการสถานีเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซแบบลอยน้ำในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
รัฐบาลยังส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า ทั้งในพื้นที่ชุมชนและถนนสายหลักระหว่างเมือง กระตุ้นการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จึงสั่งการให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง ดำเนินการกำหนดพื้นที่ติดตั้งสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าให้เพียงพอสำหรับการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV Mapping) โดยให้มีระยะห่างของแต่ละสถานีไม่เกิน 50-70 กม.
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก จะเปิดรับซื้อไฟฟ้าในเร็วๆ นี้ เน้นการผลิตไฟฟ้าตามศักยภาพของการปลูกพืชพลังงานในพื้นที่ อาทิ หญ้าเนเปียร์ กระถินณรงค์ เพื่อให้เกิดการสร้างงานและอาชีพในท้องถิ่น
เป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าช่วงปี 2563-2567 มีปริมาณรวม 1,933 เมกะวัตต์ เริ่มที่โครงการ Quick Win (ระยะเร่งด่วน) จำนวน 100 เมกะวัตต์ จะลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในปี 2563 และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายใน 12 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา