ผู้จัดการรายวัน360-“สุริยะ”ยันปัญหาการเมืองของไทย ไม่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของต่างชาติ เหตุนักลงทุนชินแล้ว รับโควิด-19 ฉุดการลงทุนชะลอตัวไปบ้าง แต่รัฐบาลยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ชักจูงการลงทุนต่อ มั่นใจฟื้นตัวแน่ แย้ม “เอ็กซอน” ติดต่ออาจทบทวนแผนลงทุนปิโตรเคมี 3 แสนล้านใหม่ หลังชะลอไป เผย 8 เดือน อีอีซีดูดเงินลงทุนแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา EEC GO ว่า จากสถานการณ์การเมืองไทยที่มีการชุมนุมในปัจจุบัน ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจการเข้ามาลงทุนในไทยโดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) แต่อย่างใด เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่มองการเมืองไทยเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจมากสุด คือ การระบาดโควิด-19 ที่กระทบให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้นักลงทุนเองบางส่วนยังคงเฝ้าติดตามใกล้ชิด แต่รัฐบาลยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน การชักจูงการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมในอีอีซีอย่างต่อเนื่องไม่เปลี่ยนแปลง
“ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงการเมืองหรือไม่ แต่อีอีซีจะเป็นนโยบายที่ไม่ได้เปลี่ยนไป ทุกอย่างยังเดินหน้า และปัญหาการเมืองขณะนี้ นักลงทุนต่างก็เคยชินกับประเทศไทย โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่น ซึ่งแม้ว่าโควิด-19 จะส่งผลให้มีการชะลอตัวการลงทุนไปบ้าง แต่แนวโน้มหลายๆ อย่างก็เริ่มฟื้นตัว หลังการทยอยปลดล็อกการให้ต่างชาติเดินทางเข้าไทยได้มากขึ้น แต่ถ้าจะเห็นผลการฟื้นตัวชัดเจน ก็ต้องรอวัคซีนโควิด-19 เป็นสำคัญ โดยหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นช่วงกลางปี 2564 เป็นอย่างเร็ว”นายสุริยะกล่าว
นายสุริยะกล่าวว่า จากการที่ไทยมีศักยภาพทั้งด้านภูมิศาสตร์และการดูแลป้องกันโควิด-19 เป็นอย่างดีติดอันดับต้นๆ ของโลก จึงเชื่อมั่นว่าจะเป็นแรงดึงดูดในการเข้ามาลงทุนในระยะยาว โดยล่าสุดทางทีมที่ปรึกษาของบริษัทเอกซอน โมบิล เคมิคอล ได้ติดต่อมายังกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อหาแนวทางทบทวนแผนการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในไทยเกี่ยวกับโครงการลงทุนส่วนขยายโรงงานปิโตรเคมี หรือโรงแครกเกอร์สำหรับผลิตปิโตรเคมี มูลค่า 300,000 ล้านบาท ในอีอีซีอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ ต้องชะลอการศึกษาความเป็นไปได้ เพราะผลกระทบจากโควิด-19 ส่วนจะเดินหน้าหรือไม่อย่างไรคงต้องรอคำตอบที่ชัดเจนอีกครั้ง
ทั้งนี้ ตัวเลขการขอรับส่งเสริมการลงทุนล่าสุดในพื้นที่อีอีซีจากบีโอไอ พบว่า ในช่วงม.ค.-ส.ค.2563 มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซีทั้งสิ้น 277 โครงการ เงินลงทุนรวม 106,300 ล้านบาท โดยมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 51% ของมูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งประเทศ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา EEC GO ว่า จากสถานการณ์การเมืองไทยที่มีการชุมนุมในปัจจุบัน ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจการเข้ามาลงทุนในไทยโดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) แต่อย่างใด เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่มองการเมืองไทยเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจมากสุด คือ การระบาดโควิด-19 ที่กระทบให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้นักลงทุนเองบางส่วนยังคงเฝ้าติดตามใกล้ชิด แต่รัฐบาลยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน การชักจูงการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมในอีอีซีอย่างต่อเนื่องไม่เปลี่ยนแปลง
“ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงการเมืองหรือไม่ แต่อีอีซีจะเป็นนโยบายที่ไม่ได้เปลี่ยนไป ทุกอย่างยังเดินหน้า และปัญหาการเมืองขณะนี้ นักลงทุนต่างก็เคยชินกับประเทศไทย โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่น ซึ่งแม้ว่าโควิด-19 จะส่งผลให้มีการชะลอตัวการลงทุนไปบ้าง แต่แนวโน้มหลายๆ อย่างก็เริ่มฟื้นตัว หลังการทยอยปลดล็อกการให้ต่างชาติเดินทางเข้าไทยได้มากขึ้น แต่ถ้าจะเห็นผลการฟื้นตัวชัดเจน ก็ต้องรอวัคซีนโควิด-19 เป็นสำคัญ โดยหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นช่วงกลางปี 2564 เป็นอย่างเร็ว”นายสุริยะกล่าว
นายสุริยะกล่าวว่า จากการที่ไทยมีศักยภาพทั้งด้านภูมิศาสตร์และการดูแลป้องกันโควิด-19 เป็นอย่างดีติดอันดับต้นๆ ของโลก จึงเชื่อมั่นว่าจะเป็นแรงดึงดูดในการเข้ามาลงทุนในระยะยาว โดยล่าสุดทางทีมที่ปรึกษาของบริษัทเอกซอน โมบิล เคมิคอล ได้ติดต่อมายังกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อหาแนวทางทบทวนแผนการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในไทยเกี่ยวกับโครงการลงทุนส่วนขยายโรงงานปิโตรเคมี หรือโรงแครกเกอร์สำหรับผลิตปิโตรเคมี มูลค่า 300,000 ล้านบาท ในอีอีซีอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ ต้องชะลอการศึกษาความเป็นไปได้ เพราะผลกระทบจากโควิด-19 ส่วนจะเดินหน้าหรือไม่อย่างไรคงต้องรอคำตอบที่ชัดเจนอีกครั้ง
ทั้งนี้ ตัวเลขการขอรับส่งเสริมการลงทุนล่าสุดในพื้นที่อีอีซีจากบีโอไอ พบว่า ในช่วงม.ค.-ส.ค.2563 มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซีทั้งสิ้น 277 โครงการ เงินลงทุนรวม 106,300 ล้านบาท โดยมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 51% ของมูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งประเทศ
