การระบาดของเชื้อโรคโคโรนาไวรัสได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามนุษย์มีความเก่งฉกาจอย่างไร ก็ยังต้องเผชิญกับพลังของธรรมชาติ ปรากฏการณ์ครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายให้ทุกวงจรชีวิตที่เกี่ยวโยงกับมนุษย์ เป็นด้วยกันเกือบทั่วโลก และยังไม่มีใครจะเอาชนะได้
เป็นการระบาดของเชื้อโรค ร้ายแรงกว่าไข้หวัดใหญ่สเปนที่เกิดขึ้น 100 ปีก่อน และกาฬโรคที่ระบาดในยุโรป มีคนตายมากกว่า แต่เป็นยุคที่ยังไม่มีวิทยาการทันสมัย
มนุษย์ใกล้จะเดินทางไปดาวอังคารอยู่แล้ว แต่ยังไม่สามารถจัดการ “ศัตรู” ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เก่งในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม และกลายพันธุ์ได้หลากหลาย แม้แต่บริษัทยาผู้ผลิตวัคซีนยังต้องดิ้นรน หาทางผลิตยาป้องกันให้ได้
เมื่อการระบาดยังแพร่กระจาย ระลอก 2 เริ่มขึ้นในทวีปยุโรปทั้งตะวันตก ตะวันออก รวมทั้งทวีปอื่นๆ ภาคธุรกิจเริ่มทยอยล้มหายตายจาก เพราะไม่สามารถรับกับแรงกดดันด้านค่าใช้จ่ายเงินเดือนและกิจกรรมอื่นๆ ทำให้เห็นว่า “ใหญ่แค่ไหนก็ล้มได้”
ล่าสุด ธุรกิจการบิน และการท่าอากาศยานเกือบทั้งโลกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ ขาดทุนบักโกรก ไม่มีรายได้ วิกฤตการเงินทำให้อยู่ในอาการโคม่า นอกจากไม่มีรายได้ รายจ่ายก็ไม่ลดมาก ภาระหนี้สินยังต้องจ่าย และเพิ่มมากกว่าเดิมเพราะการผ่อนปรน
มีเสียงร้องเรียนจากสมาคมการบินนานาชาติ หรือ International Air Transport Association (IATA) ว่าเงินอุดหนุนที่รัฐบาลต่างๆ ช่วยอัดฉีดจัดให้นั้นไม่เพียงพอ เพราะคาดว่าจะช่วยได้เพียงแค่ระยะเวลานี้ ซึ่งเดิมคาดว่าทุกอย่างจะเข้าสู่ภาวะปกติ
เงินอุดหนุนที่ให้ไป เป็นหนี้เพิ่มขึ้น กลับช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะวิกฤตรุนแรง
การช่วยเหลือด้านการเงิน ทำให้สายการบินต่างๆ ฟื้นการบริการไม่ได้ สนามบินต่างๆ ก็แทบร้าง ไม่มีเครื่องบินลงจอด รายได้จากผู้โดยสารและธุรกิจต่างๆ ก็แทบไม่เหลือ ถ้าไม่ได้รับการอัดฉีดรอบใหม่ สายการบิน และสนามบินต้องล้มละลายแน่นอน
IATA รายงานว่าสายการบินทั่วโลกขาดรายได้เพราะการระบาดของโคโรนาไวรัสในปีนี้รวมเป็นเงิน 418 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่สนามบินขาดรายได้มากถึง 104 พันล้านดอลลาร์ ดังนั้น ต้องมีการช่วยเหลือจากภาครัฐอีกรอบเพื่อความอยู่รอด
ขณะเดียวกัน IATA ยังร้องเรียนว่าควรมีมาตรการควบคุม คัดกรอง ตรวจเชื้อแบบใหม่ แทนระบบที่ใช้ปัจจุบัน เพื่อเอื้ออำนวยต่อธุรกิจการบิน เป็นการต่อลมหายใจให้อยู่รอด พร้อมทั้งธุรกิจการบริหารสนามบิน และการท่องเที่ยว ไม่เช่นนั้น ไปไม่รอดแน่นอน
แต่จะมีมาตรการอย่างไรนั้น เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องหาทางออกให้ได้
ปัจจุบัน ทั้งสายการบินและสนามบินต่างอยู่ในขั้นวิกฤตด้านการเงิน เป็นเหมือนบาดแผลลึก เรื้อรัง รักษาหายยาก และถ้าไม่ได้รับการเยียวยาอย่างทันท่วงที คงต้องล้มละลาย ต่อให้แข็งแกร่งอย่างไรก็ตาม และจะยากต่อการฟื้นฟู ถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อ
ทั้ง IATA และ Airport Council International ซึ่งดูแลกิจการสนามบินทั่วโลกต่างส่งเสียงเดียวกันว่าถึงเวลาที่รัฐบาลต่างๆ ต้องประสานความร่วมมือให้การช่วยเหลือธุรกิจสายการบินและสนามบิน ด้านการตรวจคัดกรอง กักตัวผู้โดยสารช่วงการเดินทาง
แต่ยังถือว่าเป็นความเสี่ยง เพราะถ้าติดเชื้อแล้วต้องกักตัว มีค่าใช้จ่ายแพง และความพยายามที่จะเปิดประเทศหลายแห่งส่งผลให้เกิดการระบาดรอบใหม่
“ถ้าไม่เปลี่ยนมาตรการ จะไม่เป็นการพูดเกินเลยที่จะบอกว่าธุรกิจการบิน และสนามบินจะเสี่ยงต่อการล้มละลาย” นั่นเป็นคำเตือนของนายหลุยส์ ฟิลิเป้ เดอ โอลิเวียร่า ซึ่งเป็นผู้บริหารหลักของ ACI แต่ขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการตอบรับสถานการณ์ด้วย
สายการบินขนาดใหญ่ เช่น บริติช แอร์เวย์ ของอังกฤษ ลุฟต์ฮันซา ของเยอรมนี ก็เผชิญกับปัญหาการเงิน ส่วนบริษัทในสหรัฐฯ เช่น ยูไนเต็ด อเมริกัน เดลตา ก็อยู่ในสภาวะที่ลำบาก ต้องปลดพนักงาน และนักบินบางส่วนต้องพักงาน รอการฟื้นตัว
เป็นที่คาดกันว่า ถ้ายังเป็นอย่างนี้ ธุรกิจการบินอาจเข้าสู่สภาวะเดิมได้นั้นต้องใช้เวลาอีกหลายปี และการเดินทางโดยเครื่องบิน การท่องเที่ยวต้องใช้เวลาเช่นกัน เพราะคนทั้งโลกไม่อยากเสี่ยง ขณะที่ยังไม่มีวัคซีนและยารักษาที่ได้ผลเด็ดขาด
การระบาดที่มาระลอก 2 เกิดจากความไม่ใส่ใจของคนในหลายประเทศที่ต่อต้านการควบคุม มีการเดินขบวนในหลายประเทศ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ และสเปน ส่งผลให้การระบาดเกิดขึ้นอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ เพราะไม่ทำตามกฎที่คุมเข้ม
การไม่สวมหน้ากากอนามัย ไม่ทิ้งระยะห่าง ล้างมือให้บ่อย ยังไม่ทำกันเต็มที่ ผลที่ตามมาคือในยุโรป และสหรัฐฯ ซึ่งอ้างสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย ทำให้ควบคุมได้ยาก
ในสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นตัวอย่างแบบเลวร้าย ไม่ยอมสวมหน้ากาก ทำให้บรรดากลุ่มคนสนับสนุนพรรครีพับลิกันไม่ยอมสวมหน้ากากด้วย
ช่วงนี้ทรัมป์เดินสายหาเสียงรอบสุดท้าย ไปอย่างน้อยอีก 4 มลรัฐ เพื่อหวังตีตื้นคะแนนที่ยังตามหลังคู่แข่ง นายโจ ไบเดน ทำให้เกรงว่าทรัมป์จะเป็นตัวเร่งการระบาดอีกรอบ เพราะมีคนมาร่วมชุมนุม ขณะที่ประเทศตะวันตกกำลังเข้าสู่ฤดูหนาวในเดือนหน้านี้
ทรัมป์ไปรัฐฟลอริดา มีคนมาต้อนรับ ทำให้คนเปรียบเทียบว่าสภาพการระบาดที่อาจจะตามมาเพราะคนไม่สวมหน้ากาก จะเป็นกับไฟไหม้บ้านที่คุมไม่อยู่
การระบาดในระลอก 2 ในยุโรปกำลังทำให้หลายประเทศต้องประกาศคุมเข้ม ปิดล็อกเมืองอีกรอบ ในอังกฤษ เยอรมนี สเปน ฝรั่งเศส ซึ่งมีการติดเชื้อหลายพันคนต่อวัน และการระบาดในยุโรปตะวันออกเช่น โปแลนด์ สาธารณรัฐเช็ก ออสเตรีย ยูเครน
เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม อิตาลี และเพื่อนบ้าน ก็เผชิญกับการระบาดหนักเช่นกัน ในสหรัฐฯ อเมริกากลาง และละตินอเมริกา การระบาดยังไม่สามารถควบคุมได้เช่นกัน
คนทั้งโลกจะอยู่ในสภาวะแบบนี้อีกนานแค่ไหน ไม่มีใครกล้าทำนายได้!