มาถึงช่วงนี้คนทั้งโลกคงต้องยอมรับว่าในบรรดาผู้นำประเทศ โดยเฉพาะมหาอำนาจคงจะไม่มีใครสามารถเทียบระดับกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายโดนัลด์ ทรัมป์
และต้องยกหัวแม่โป้งให้ว่าเป็นสุดยอดของผู้นำห้าวเป้งถือเด่นดื้อรั้นไม่มีใครเกิน
คงจะเป็นการพิสูจน์ชัดเจนว่า ทรัมป์ต้องมาก่อนอเมริกาทุกด้าน เป็นคนเดียวที่สามารถแหกกฎ กติกา และข้อห้ามต่างๆ เพื่อตัวเองและไม่คำนึงถึงผู้อื่น
การที่ดันทุรังออกจากโรงพยาบาลวอลเตอร์ รีด เร็วกว่าที่ควรจะเป็น หลังจากนอนพักรักษาตัวจากการติดเชื้อโรคโคโรนาไวรัส 3 คืน ทั้งๆ ที่ไม่มีแพทย์รายใดยืนยันว่าหายขาดจากการเจ็บป่วยแล้วถือว่าทรัมป์ พร้อมจะให้คนอเมริกันต้องเสี่ยงภัยและเสี่ยงตายทั้งประเทศ
เมื่อเดินทางถึงทำเนียบขาวก็เปิดหน้ากากอนามัยโชว์ให้เจ้าหน้าที่ได้เห็น และประกาศให้คนอเมริกันรับรู้ว่าไม่ควรจะกลัวโคโรนาไวรัส และอย่าให้เชื้อโรคนี้มีอิทธิพลครอบงำในการดำเนินชีวิต ทั้งที่จำนวนผู้ติดเชื้อในทำเนียบขาวเพิ่มแทบทุกวันและล้วนเป็นคนใกล้ตัวทั้งนั้น
คำประกาศแบบไม่เกรงกลัวเชื้อโรคย่อมส่งสัญญาณผิดให้บรรดาผู้ที่สนับสนุนผู้นำ ที่ผ่านมาคนอเมริกันกลุ่มนี้ก็เอาอย่างด้วยการไม่ยอมสวมหน้ากากอ้างสิทธิเสรีภาพ ทั้งที่ในความเป็นจริงตัวเลขคนอเมริกันติดเชื้อมากกว่า 7.5 ล้านคน และเสียชีวิตมากกว่า 2.12 ล้านคน
พฤติกรรมไม่ยอมรับคำแนะนำของแพทย์รวมทั้งเรื่องออกไปนั่งรถตระเวนรอบโรงพยาบาลหลังจากคืนที่สองของการรักษานั้น สร้างความตระหนกให้กับกลุ่มแพทย์ที่เฝ้าดูสถานการณ์เพราะนำตัวหน่วยอารักขาไป เสี่ยงการติดเชื้อ ต้องกักตัว สร้างปัญหาให้กับสมาชิกครอบครัวของคนเหล่านั้น
การไม่อยู่กับร่องกับรอย แหกกฎกติกาต่างๆ สะท้อนให้เห็นนิสัยการถือดี หลงตัวเอง และความบ้าหรือถึงขั้นวิกลจริตระดับหนึ่ง เพราะแพทย์รายหนึ่งบอกว่าการที่ผู้นำทำเนียบขาวออกไปตะลอนๆ ข้างนอก งั้นสมควรถูกจับตัวมาเพื่อวิเคราะห์สภาวะทางจิตว่าปกติดีหรือไม่
แต่คนส่วนใหญ่ที่เฝ้าดูพฤติกรรมของทรัมป์ คงสรุปไปนานแล้วว่าทรัมป์มีภาวะจิตไม่ปกติ นอกจากสุขภาพของตัวเอง เพราะถ้าคนมีสติสัมปชัญญะดีสมบูรณ์ย่อมไม่นำตัวเองไปเสี่ยงกับเชื้อโรคที่ถือว่าอันตรายที่สุดในโลก
การที่ไม่รักษาให้หายขาดอาจจะเสี่ยงกับการล้มป่วยอีกครั้ง และสะท้อนให้เห็นตัวตนของผู้นำหัวแข็งอีกครั้ง
และการทำให้คนอื่นเสี่ยงเพราะการกระทำของตัวเอง ก็ต้องถือว่าเป็นคนที่เลือดเย็น อำมหิต ไร้เมตตาธรรม เป็นคนที่ไม่สมควรอยู่ร่วมกับมนุษย์โลก เพราะมีพฤติกรรมบ้าบิ่นและเป็นตัวอันตรายอย่างที่หลานสาว แมรี ทรัมป์ ที่เป็นนักจิตวิทยาได้เขียนหนังสือไว้
ทรัมป์ห่วงผลการเลือกตั้งมากกว่าสุขภาพของตัวเองและของคนอเมริกัน ดังนั้นต้องแสดงออกให้เห็นว่าตัวเองเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง เชื้อโรคเอาไม่ลง และจะเป็นต้นแบบที่เลวสำหรับคนอื่นๆ ที่หลงเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องเฝ้าระวังและถึงจะติดเชื้อก็คงไม่ตายเหมือนท่านผู้นำ
แต่จะมีใครรับรู้ว่ายาที่รักษาทรัมป์ ทั้งยาโมโนโคลนอล แอนติบอดี้ ค็อกเทล ของบริษัท Regeneron และยารักษาฆ่าเชื้อ Remdesivir นั้นยังไม่ได้ผ่านการรับรองขององค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา คนอเมริกันโดยทั่วไปยังไม่สามารถเข้าถึงการรักษาอย่างนี้
แต่ที่น่าฉงนสนเท่ห์ คือการที่แพทย์ได้ให้ยาเดกซาเมทาโซน Dexamethasone นั้นเพราะเชื่อว่ามีอาการติดเชื้อในปอดหรือนิวมอเนีย เพราะถ้าไม่มีอาการอย่างนั้นแพทย์จะไม่ยอมเพราะจะเป็นการกดภูมิต้านทานในร่างกายสำหรับโรคอื่นๆ
การแถลงข่าวของคณะแพทย์ประจำที่โรงพยาบาลมีลักษณะกำกวมไม่ให้รายละเอียดมีข้อความขัดแย้งกันเองแล้ว ทุกวันนี้ยังไม่มีใครยืนยันว่า ทรัมป์ ถูกตรวจพบว่าเริ่มติดเชื้อตั้งแต่วันไหน และก็มีคนสงสัยว่าอาการติดเชื้อน่าจะมีหลายวันก่อนวันที่ตรวจพบซึ่งจะทำให้ต้องไปไล่ตรวจเช็กว่ามีคนเกี่ยวข้องและต้องเฝ้าระวังรอดูอาการกี่คน
เหลือเวลาอีกไม่ถึง 1 เดือนที่คนอเมริกัน จะได้รู้ว่าใครมาเป็นผู้นำ ล่าสุดการสำรวจความเห็นของคนอเมริกันโดยสำนักข่าว CNN ชี้ว่า ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต นายโจ ไบเดน มีคะแนนนำห่างถึง 16 จุด แต่ผลสุดท้ายจะเป็นตามนี้หรือไม่ก็ต้องรอดูผลเพราะคนอเมริกันส่วนใหญ่ได้ลงคะแนนไปแล้วก่อนที่ทรัมป์ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ยังไม่แน่ชัดว่าการดีเบตรอบสองระหว่างคู่ชิงจะเกิดขึ้นหรือไม่ แม้ตัวทรัมป์ประกาศว่าพร้อมแต่เมื่อตัวเองไม่ได้ถูกกักกันครบ 14 วันช่วงการติดเชื้อ และยังไม่มีใครยืนยันว่าหายขาด จะมีใครไปร่วมหรือไม่
แพทย์ได้รายงานหลังจากทรัมป์ออกจากโรงพยาบาลว่า ยังไม่พ้นจากสภาวะการป่วยเด็ดขาด แต่เมื่อคนไข้ไม่ยอมฟังและขอไปอยู่ภายใต้การดูแลในทำเนียบขาวก็ย่อมไม่มีใครกล้าขัดใจได้
ทรัมป์เพียงต้องการแสดงออกว่าตัวเองเป็นผู้นำซึ่งไม่มีใครทำอะไรได้ และจะต้องรักษาสภาวะผู้นำแม้ในยามที่ร่างกายไม่พร้อมก็ตาม ส่วนใครจะได้รับผลกระทบหรือเดือดร้อนนั้น ไม่ใช่ประเด็นที่น่าห่วงสำหรับท่านผู้นำ
ยังจะมีความไม่แน่นอนรอข้างหน้าเพราะจอมอหังการประกาศแล้วว่า แม้คะแนนจะแพ้ก็ยังจะต้องสู้กันในศาลต่อไปเพราะได้กล่าวหาแล้วว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีการโกงเกิดขึ้น แต่ไม่มีหลักฐานมาสนับสนุนคำอ้าง
ศึกการเลือกตั้งจึงต้องรอซื้อของแท้มันก็คือทั้งสองฝ่ายยอมรับผลที่ออกมาเพื่อที่จะให้ผู้ชนะได้นำพาประเทศสู้กับวิกฤตการเมืองการติดเชื้อโรค และปัญหาความแตกแยกอื่นๆ รวมถึงวิกฤตเกิดจากความขัดแย้งกับประเทศอื่นๆ ด้วย
สมกับคำของทรัมป์ที่ได้ประกาศว่าการเลือกตั้งคง “จบไม่สวย” แต่จะเป็นใครนั้นต้องรอดูผล